Monster Hunter หนังดีส่งท้ายปี 2020 ที่ได้ทุมทุ่นสร้างอย่างมหาสาร ประกอบกับการดึงนักแสดงแถวหน้าของวงการหนังแอคชั่นอย่าง มิลล่า โจโววิช ที่เราเห็นฉากบู้จากหนังเรื่อง ผีชีวะ และ จา พนม นักแสดงชาวไทย ได้ร่วมแสดงอีกด้วย ถือว่าเป็นหนังที่สร้างมาจากเกม แนว แอคชั่น แฟนตาซี
จากผู้กำกับ Paul W.S. Anderson ซึ่งถือว่าเป็นผู้กำกับชื่อดังเรื่องทำหนังจากเกมคนนึงเลย การันตีด้วยผลงานอย่าง Mortal Kombat, Dead or Alive, และหนังยาว 6 ภาคอย่าง Resident Evil ซึ่งก็มีทั้งข้อดีข้อเสียปะปนกันในไปผลงานที่แล้วๆ มาของชายคนนี้ ซึ่งเขายังพกพานักแสดงนำคู่ขวัญ และเป็นภรรยาเจ้าตัวด้วยอย่างมิลล่า โจโววิช หรือ อลิซ จากหนัง Resident Evil มาทำงานต่ออีกด้วย นอกจากนั้นยังมีนักแสดงบทบู๊ขวัญใจชาวไทยอย่างพี่ จา พนม มาร่วมสมทบด้วยอีกคน
ตัวหนังมีความพยายามขายแฟนคลับของเกมค่อนข้างมาก ด้วยการชูโรงมอนสเตอร์เด่นจากเกมเช่นราทารอส และเดียโบรอสแถมยังบัพขนาดตัวให้ใหญ่กว่าในเกมถึงประมาณ 3 เท่าเพื่อให้กินคนในเรื่องได้สะดวกโยธินแบบไม่ต้องเสียเวลากัดแต่อย่างใด
ไม่พอยังพาตัวละครสมทบจากเกมมาเต็มอัตราโดยเฉพาะจากภาค World ที่ขายดีถล่มทลาย เรียกได้ว่าขายแฟนเซอร์วิสให้คนที่เริ่มต้นเล่นเกม Monster Hunter จากภาค World สบายๆ ด้วยภาพ CG ที่สวยงามของมอนสเตอร์ทุกตัว
เสียงประกอบที่แสดงความน่าเกรงขามของมอนสเตอร์ได้ดีมาก ตัวไหนจะทำให้น่ากลัวเป็นหนังเอเลี่ยนสยองขวัญก็ทำได้ ถือว่าครบเครื่องครับกับทุกสิ่งที่เกี่ยวกับการเข้าไปดูมอนสเตอร์ทั้งหลายจากเกม แต่ปัญหามันเริ่มเกิดจากจากเส้นเรื่อง และความว่างเปล่าของบทหนังเสียมากกว่า
หนังเล่าถึงตัวเอกที่เป็นหัวหน้าทหารรับจ้างกองหนึ่งชื่อว่า อาเทมิส ที่ไปตรวจสอบสถานที่ที่คนสูญหายไปกลางทะเลทราย ก่อนที่ทั้งหน่วยจะถูกพาข้ามมิติไปยังโลก Monster Hunter และต้องเอาตัวรอดจากเหล่าสารพัดสัตว์ประหลาดที่พร้อมจะฆ่าคุณได้ทุกเวลา เพื่อที่จะหาทางกลับโลกเดิมให้ได้อีกครั้ง(เพื่ออะไรก็ไม่รู้หนังไม่บอก) โดยต้องร่วมมือกับเหล่านักล่าในโลกนั้นหยุดภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
นอกจากพี่จาที่แสดงเป็น Field Team Leader แล้ว ตัวละครอื่นๆ ไร้ที่มาที่ไป ไม่มีความต้องการที่จะให้เรารู้จักพวกเขามากกว่าการแสดงตัวบนหน้าจอภาพยนตร์แล้วก็หายไป หากพูดกันตามตรงนี่เป็นหนังของสองตัวเอกหลักเท่านั้นจริงๆ ดีนะเนี่ยไม่มีสูตรหนังฮอลลีวู้ดที่จู่ๆ ทั้งสองคนจะรักกัน มีความพยายามสอดแทรกมุขตลกเข้ามาเรื่อยๆ แต่ได้แค่ขำแห้ง หรือไม่ก็ไม่ขำเลยเสียมากกว่า
แฟนเซอร์วิสที่ไม่สุด ซึ่งถ้าเล่าไปคงเข้าข่ายสปอยหนังแล้ว บอกแค่ว่าเราเห็นแล้วว่ามีเท่าไรก็มีเท่านั้น นอกจากนั้นยังมีมอนสเตอร์ตัวหนึ่งที่ค่อนข้างปรากฏตัวได้น่าผิดหวังมากๆ และคงทำได้ดีกว่านี้ถ้าให้เวลาในหนังอีกสัก 30 นาที แต่หนังมันก็จะยาวไปเสียเปล่าๆ
ช่วงท้ายมีความ Sequel Bait หรือ Cliffhanger อย่างมาก เหมือนสมัยหนัง Resident Evil ของเจ้าตัวเองเลย ซึ่งส่วนตัวไม่ชอบแบบนี้เท่าไร เพราะการทำหนังที่คาดหวังว่าจะได้ทำภาคต่อแน่นอน และไม่มีตอนจบที่น่าจดจำจะทำให้หนังเรื่องหนึ่งดูแย่เสียเปล่าๆ