Locked Down ภาพยนตร์รัก โรแมนติก ที่จะพาท่านไปพบกับ ดราม่า ต่างๆ ในเรื่อง และยังสอดใส้ความตลก ให้ท่านไปแอบยิ้มไปตามๆ กัน อย่างแน่นอน โดยเรื่องนี้ถือเป็นหนังอีกเรื่องที่ แฟนๆ หนังโรแมนติก ดราม่าคอมเมดี ไม่ควรพลาดมากๆ
หนังลงสตรีมมิงทาง HBO Max ทั่วโลก (ส่วนในบ้านเราเป็น HBO Go) ก่อนเข้าฉายในอังกฤษประเทศบ้านเกิดในเดือนมีนาคมนี้เสียอีกสำหรับ Locked Down หนังที่มีทีมนักแสดงและทีมสร้างน่าสนใจสุด ๆ ไล่ไปตั้งแต่ 2 ดารานำทั้ง จิวีเทล เอจิโอฟอร์ ที่เคยเข้าชิงออสการ์นักแสดงนำชายจาก 12 Years a Slave (2013) แต่บ้านเราน่าจะคุ้นหน้าจากบท มอร์ดอ คู่ปรับร่วมสำนักของหมอแปลก Doctor Strange (2016) มากกว่า ประกบกับนักแสดงสาวมากฝีมือขวัญใจผู้ชมอย่าง แอนน์ แฮททาเวย์ เจ้าของออสการ์นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจาก Les Misérables (2012)
ซึ่งตอนแรกดูเหมือนเคมีไม่น่าจะเข้ากันได้ดีนัก เพราะเราไม่ค่อยเห็นเอจิโอฟอร์ที่มักเล่นใบหน้าเคร่งเครียดมาเล่นหนังกุ๊กกิ๊ก แต่ด้วยความมืออาชีพของทั้งคู่มันก็ไปลงตัวกันได้ ถึงโมเมนต์น่ารักอาจไม่เด่น แต่โมเมนต์อดีตคู่รักที่กลายเป็นคู่กัดกันนี่โคตรได้
นอกจากนี้หนังยังได้ดารารับเชิญดัง ๆ มาแจมผ่านเฟซไทม์ และซูม เข้าสถานการณ์โควิด-19 อีกมากมาย ที่น่าดีใจเลยคือมีลุง เบน คิงสลีย์ และ เบน สติลเลอร์ มาเป็นเซอร์ไพรส์ของหนังที่ดูเป็นธรรมชาติมาก ๆ แล้วก็น้องหนูโชแชงแห่งหนังแฮรี่ พอตเตอร์ หรือ เคที เหลียง มาโผล่ให้เกือบจำไม่ได้ด้วย แต่ที่น่ารักสุดคงเป็นเจ้าเม่นที่โผล่มาในตอนต้นของหนังแล้วถูกพูดถึงเรื่อย ๆ ตลอดเรื่อง ที่ด้านเครดิตนักแสดงยังให้ชื่อว่า เจ้าโซนิก เสียด้วย เป็นกิมมิกชวนยิ้มไม่น้อยเลย
หนังยังเป็นผลงานการกำกับในแนวโรแมนติกดราม่าคอมเมดีของผู้กำกับ ดั๊ก ไลแมน แห่ง The Bourne Identity (2002) นับตั้งแต่ไปขลุกทำหนังกับป๋า ทอม ครุยส์ อยู่ถึง 2 เรื่อง คือ Edge of Tomorrow (2014) และ American Made (2017) และสำหรับเรื่องนี้ที่ใกล้เคียงสุดน่าจะพูดได้ว่าคล้ายงานเดิมของไลแมนอย่าง Mr. & Mrs. Smith (2005) ที่สุด เพียงแต่ลดความเว่อให้กลายเป็นรอยยิ้มแบบชาวบ้าน ๆ ใต้ข้อจำกัดของการถ่ายหนังในช่วงโควิดได้นั่นเอง เพราะนอกจากเรื่องทั้งรักทั้งชังกันไปมาของคู่รักแล้ว หนังยังต่อเรื่องราวกลายเป็นหนังปล้นสุดอลวนได้เฉยเลยด้วย คือหาจุดขายมัน ๆ จนได้สิน่า
งานนี้ยังต้องชมงานเขียนบทของ สตีเฟน ไนท์ มือเขียนบทรุ่นเก๋าที่เคยมีชื่อเข้าชิงออสการ์สาขาบทยอดเยี่ยมจาก Dirty Pretty Things (2002) มาแล้ว ในหนังเรื่องนี้คงเป็นหนังรักระหองระแหงธรรมดาไปเลย ถ้าขาดการหยอดรายละเอียดมากมายให้น่าติดตาม ไม่ว่าจะมุกกุ๊กกิ๊กน่ารักที่เราคุ้นเคยจากหนังรักสไตล์อังกฤษ ตลอดจนสถานการณ์ชวนปวดหัวที่ชวนขำและเอาใจช่วยตัวละครไปพร้อมกัน ว่าสุดท้ายคู่นี้จะรักหรือจะเลิกดีล่ะ ใครชอบหนังรักสไตล์อังกฤษอย่าง Notting Hill (1999) หรือ Love Actually (2003) ก็ถือว่าเรื่องนี้พอแก้ขัดได้ดีพอสมควรเลย
และคงต้องพูดว่าท่ามกลางความตะกุกตะกักของการเล่าที่เห็นได้ว่าเป็นผลพวงหนึ่งจากการถ่ายทำภายใต้การล็อกดาวน์ในอังกฤษ มันจึงกลายเป็นว่าหนังบันทึกช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่คนทั้งโลกต้องเผชิญผ่านทั้งเรื่องราวในหนังเองที่ตัวละครต้องอยู่แต่ในบ้าน คุยกันผ่านทางหน้าจอ เริ่มลองปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านทั้งที่ไม่เคยสนใจมาก่อน การต่อคิวแบบเว้นระยะห่างเพื่อซื้อของ การใส่หน้ากากผ้ากลายเป็นเรื่องที่ต้องกระทำ และการคุยเรื่องประกันสุขภาพถ้วนหน้าก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลทุกประเทศควรคิดอย่างจริงจัง หนังก็ยังบันทึกประวัติศาสตร์ทางอ้อมผ่านความไม่ราบรื่นของโพรดักชันที่เราจะสัมผัสได้ว่าไม่ลื่นเหมือนเคย และการจงใจใช้เฟซไทม์บ้าง ซูมบ้าง ก็เป็นการหยอดเพื่อแก้ปัญหาของตัวเองด้วย
ซึ่งเมื่อเราดูมันหนังมันจึงไม่ใช่เพียงความบันเทิงที่ได้รับ แต่เป็นพลังในการสู้กับชีวิตวันรุ่งขึ้นต่อไป ว่าถึงจะตะกุกตะกักบ้าง โดนสั่งหยุดบ้างคงไม่ต่างจากเรา ๆ ท่าน ๆ แต่ดูสิทีมนักแสดงและทีมงานกองหนึ่ง เขายังทำหนังทั้งเรื่องออกมาให้เราได้ยิ้มได้อิ่มเอมใจอยู่ตอนนี้ได้เลยนะ