Bridgerton วังวนรัก เกมไฮโซ

Bridgerton ซีรี่ย์ แนว ดราม่า โรแมนติก จาก netflix ได้เปิดตัวในปลายปี 2020 ซึ่งซีรี่ย์เรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ทำยอดผู้ชมสูงสุดเป็นประวัติกาล ด้วยเนื้อเรื่องที่ได้สร้างจากนิยายที่ขายดี โดยซีรี่ย์เรื่องนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับ ครอบครัวสุดร่ำรวย ที่สุดอลเวง แทรกไปด้วยเรื่องราวดราม่า จากความรัก ที่จะทำให้ท่านตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา

จากนิยายขายดีชุด Bridgerton ของ Julia Quinn กลายมาเป็นซีรีส์ Love Drama Comedy ซีรีส์รักโรแมนติกชิงไหวชิงพริบท่ามกลางเรื่องอื้อฉาวที่เน้นชูค่านิยมในวงสังคมชั้นสูง มิตรภาพความรัก กับเส้นทางของแต่ละครอบครัว และการค้นหารักแท้ ผลงานสร้างของ Shondaland และผู้สร้าง Chris Van Dusen

Bridgerton ที่กำลังโด่งดังอยู่ใน NETFLIX เวลานี้ ดัดแปลงมาจากเรื่องราวในเล่มแรก (ดยุคในดวงใจ THE DUKE ANDI ) ของนิยายชุด Bridgerton นิยายแนวโรมานซ์แบบคลาสสิกดั้งเดิม เรื่องของ ดาฟนี่ บริดเจอร์ตัน ลูกสาวคนโตของแม่ม่ายไฮโซ เลดี้ไวโอเล็ต บริดเจอร์ตัน ตระกูลขุนนางในยุครีเจนซี กับ ไซมอน บาสเซ็ต ดยุคหลุ่มรูปงามแห่งเฮสติ้งส์ ที่บรรดาแม่ ๆ อยากจะตกมาเป็นลูกเขยใจจะขาด ว่าด้วยเรื่องของวงสังคมไฮโซในสมัยนั้น ที่การหาคู่ที่เหมาะสมดูจะเป็นภารกิจหลักของสตรีชั้นสูง ที่เชื่อว่ามันคือหลักประกันให้พวกหล่อนมีชีวิตอยู่อย่างเชิดหน้าชูตา

ครอบครัว Bridgerton มีทายาททั้งหมด 8 คนและจะเป็นตัวเอกนิยายชุด Bridgerton ทั้งหมด 8 เล่ม ซึ่งบ้านเรามีแปลออกมาแล้วถึงเล่ม 7 จ้ะ ดาฟนี่ บริดเจอร์ตัน (Phoebe Dynevor) เป็นลูกสาวคนโตของตระกูล บริดเจอร์ตัน อันทรงอิทธิพล เมื่อเธอเป็นสาวเดบูตองต์ (สาวน้อยแรกรุ่นจากตระกูลสูงศักดิ์ ตามธรรมเนียมยุโรป) ที่ก้าวเข้าสู่ตลาดหาคู่อันดุเดือดของลอนดอนยุครีเจนซี ดาฟนี่หวังว่าจะเจริญรอยตามพ่อแม่และพบคู่ที่เกิดจากรักแท้ ชายหนุ่มที่เข้ามาในช่วงแรกดูเหมือนจะผ่านฉลุย แต่หลังจากพี่ชายคนโตเริ่มกีดกันชายที่มีแววจะเป็นคู่ของเธอได้

หนังสือพิมพ์ซุบซิบสังคมชั้นสูงที่ เลดี้ วิสเซิลดาวน์ นักเขียนปริศนาเป็นผู้เขียน ก็เริ่มป้ายสีดาฟนี่ เธอจึงตกลงกับดยุคแห่งเฮสติ้งส์ ไซมอน บาสเซ็ต (Regé-Jean Page) หนุ่มโสดเนื้อหอมจอมขบถที่บรรดาแม่ ๆ ของสาวเดบูตองต์ใฝ่ฝันอยากได้เป็นลูกเขยในฤดูกาลนี้ ตบตาคนทั้งเมืองว่าทั้งสองกำลังศึกษากัน แม้ทั้งคู่จะออกปากว่าไม่ต้องการอะไรจากกัน แต่เห็นได้ชัดว่าเริ่มมีใจให้กันหลังจากต้องชิงไหวชิงพริบกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ท่ามกลางสายตาทุกคู่ในวงสังคม ที่มีต่ออนาคตของทั้งคู่ เรื่องชาวบ้านเป็นงานของสังคมนี้เขาเลยละ

The Lighthouse (2019)

The Lighthouse ภาพยนตร์ แนว ดราม่า ระทึกขวัญ ที่ถูกสร้างขึ้น และอ้างอิงจากเรื่องจริง ในช่วงยุด 1800 โดยเรื่องนี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชาย 2 คน ที่ติดอยู่ในประภาคาร ที่มีพายุอย่างยาวนาน ถือว่าเป็นอีกเรื่องที่น่าดูเลยทีเดียว โดยหนังเรื่องนี้ได้ถูกนำกลับมาฉายอีกครั้ง ในปี 2021 นี้

ไม่น่าเชื่อว่า The Lighthouse จะเป็นเพียงผลงานหนังยาวเรื่องที่ 2 ของผู้กำกับ โรเบิร์ต เอ็กเกอร์ ผู้กำกับที่โด่งดังจากหนังเรื่องแรกในแนวเขย่าขวัญยุคใหม่อย่าง The VVitch: A New-England Folktale (2015) ซึ่งก็ทำให้เห็น ความมีของ ในตัวเอ็กเกอร์มาอย่างดี และในหนังเรื่องที่ 2 ของเขานี้มันก้ยังคงโดดเด่นจากสิ่งที่เขาเคยทำไว้ ทั้งโปรดักชันดีไซน์ที่เคร่งขรึมย้อนยุคแต่สวยงามมีความขลัง และปริศนาดำมืดที่น่าหวาดผวาสั่นประสาทตัวละครและผู้ชม

โดยในครั้งนี้เขานำเรื่องเล่าคลาสสิกของเหตุการณ์จริงในปี 1801 ที่ชื่อ โศกนาฏกรรมประภาคารหลังเล็ก (The Smalls Lighthouse Tragedy) เกี่ยวกับคนเฝ้าประภาคารชาวเวลส์ 2 คนที่ชื่อโธมัสเหมือนกันต้องติดอยู่ในประภาคารระหว่างพายุใหญ่โหมกระหน่ำยาวนาน และเมื่อชายคนหนึ่งเกิดตายอย่างสยดสยอง ชายอีกคนกลัวถูกกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรถ้าเอาศพโยนทะเล จึงจำใจต้องทนอยู่ทำงานโดยมีศพเพื่อนร่วมงานที่กำลังเน่าเปื่อยอยู่ไม่ไกล สภาวะกดดันและความอ้างว้างทำให้เขาแทบเป็นบ้า เหตุการณ์นี้ถูกนำมาถ่ายทอดผ่านสื่อหลายครั้งที่ใกล้หน่อยก็มีละครวิทยุของช่อง BBC ในปี 2011 ฉบับหนังอังกฤษในปี 2016 ของ คริส โครว์ และผ่านวิสัยทัศน์ใหม่ในหนังฉบับนี้ของเอ็กเกอร์นี่เอง

ทั้งนี้ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดและเป็นความโดดเด่นในฉบับเอ็กเกอร์ คือการผสมผสานเรื่องราวดราม่าคลาสสิกทางทะเลจากนวนิยายอมตะของ เฮอร์แมน เมลวิลล์ (Herman Melville) เจ้าของผลงาน Moby-Dick กับโรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน (Robert Louis Stevenson) เจ้าของผลงาน Treasure Island โดยมีเอกลักษณ์ของนิยายสยองขวัญเหนือธรรมชาติของ เอช. พี. เลิฟคราฟท์ (H. P. Lovecraft) และนิยายผีของ อัลเจอร์นอน แบล็กวูด (Algernon Blackwood) เป็นส่วนผสมในฝั่งของจิตวิปลาสด้วย เมื่อบวกด้วยฝีมือการกำกับและประสบการณ์ในการทำโปรดักชันดีไซน์ของเอ็กเกอร์ก็ทำให้ตัวหนังมีเอกลักษณ์โดดเด่นที่ผู้ชมสัมผัสได้ตั้งแต่แว่บแรก

โดยเฉพาะงานด้านภาพที่แทบยกเทคนิคหนังยุคเก่าในสัดส่วนจอแบบเกือบจัตุรัส (1.19:1) แบบฟิล์มโบราณยุค 1888 ทั้งการใช้เลนส์วินเทจบาลตาร์ส (Baltars) และฟิลเตอร์ชไนเดอร์ (Schneider) ใส่กล้องฟิล์ม 35 mm ขาวดำ Double X (5222) แบบหนังยุคนั้น การถ่ายภาพเองก็ศึกษาการถ่ายแบบหนังยุคเก่าที่เน้นการถ่ายแบบขาตั้งกล้องนิ่งเหมือนละครเวที แล้วอาศัยการตัดต่อหลากมุมเพื่อให้ทันสมัยขึ้น จึงได้ความรู้สึกผสมผสานทั้งขลังแบบเก่าและความดุดันเร้าอารมณ์แบบหนังยุคใหม่ ซึ่งลงตัวอย่างมากกับตัวเนื้อหาย้อนยุคและอารมณ์ของหนัง

อีกส่วนที่โดดเด่นแบบรู้สึกมาก ๆ คือการแสดงแบบทุ่มสุดตัว ลึกสุดใจของ 2 นักแสดงนำอย่าง โรเบิร์ต แพตทินสัน และ วิลเลม เดโฟ ที่ฝั่งหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มหน้าใหม่ที่มาทำงานครั้งแรก เป็นตัวแทนสายตาฝั่งผู้ชมที่เข้าไปสัมผัสประภาคารกลางทะเลห่างไกลผู้คน พร้อมบรรยากาศและเรื่องเล่าที่น่าหวาดระแวงและประสงค์ร้ายต่อสภาวะจิตใจ ทั้งการตายของคนดูแลคนก่อนหน้าที่เขามาทำงานแทน หุ่นแกะสลักตำนานนางเงือกที่มาเชื้อเชิญชายหนุ่มให้จมน้ำตาย คำสาปของนกทะเลที่บินวนเวียนอยู่รอบประภาคาร และพฤติกรรมประหลาดของรุ่นพี่ที่หลงใหลแสงประภาคารจนน่าสงสัย อีกฝั่งคือรุ่นพี่สุดเก๋าที่ชอบจ้ำจี้ มีความเห็นในทุกเรื่อง เจ้าอารมณ์ ขี้โกหกคำพูดกลับกลอกไปมา จนความจริงคลุมเครือชวนสับสน ปั่นหัวทั้งตัวละครหนุ่ม ทั้งตัวเอง และผู้ชม

“แกรู้มั้ยว่านี่ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว (ภาพในหนังเหมือนผ่านมาแค่ 2 วัน) แกเป็นอะไรไปถึงบ้าคลั่งเอาขวานไล่ฆ่าฉัน (ภาพในหนังคือเป็นรุ่นพี่เอาขวานไล่ฆ่าชายหนุ่ม) หรือฉันอาจเป็นเพียงจินตนาการในหัวของแกเท่านั้นก็ได้”

ถ้าไปดูรายละเอียดเบื้องหลังการแสดงของทั้งคู่เราจะยิ่งทึ่งกับภาพที่ปรากฏบนจอเข้าไปอีก แต่ก็เป็นเรื่องควรรู้ก่อนไปรับชม เช่น ผู้กำกับเอ็กเกอร์เข้มงวดกับการพูดของตัวละครถึงขนาดสั่งเดโฟให้แสดงโดยพูดความเร็วเท่าไหร่ ในบทบรรทัดที่เท่าไหร่เลยทีเดียว ด้านเดโฟเองก็ไม่ยิ่งหย่อนเขาเลือกนอนในบ้านของชาวประมงใกล้กับสถานที่ถ่ายทำเพื่อซึมซับบรรยากาศของตัวละคร ส่วนแพตทินสันก็เลือกจะไม่พูดคุยกับใครระหว่างการถ่ายทำ กับเดโฟเองคนทั้งคู่ไม่ได้คุยเป็นการส่วนตัวเลยนับตั้งแต่ถ่ายทำจนหลังจากนั้นไปหลายเดือนทีเดียวเพื่อเก็บความเหินห่างของตัวละครไว้ตามบท และส่วนที่น่าทึ่งมาก ๆ คือการสะกดจิตตัวเองของทั้งคู่อย่างแพตทินสันเขาเลือกจะทานหยดน้ำฝนที่ร่วงผ่านหลังคาลงมาระหว่างคัตเพื่ออินกับบท และเดโฟก็ร่ายบทใส่อารมณ์กว่า 2 นาทีโดยที่ไม่กะพริบตาสักครั้งเดียว นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความเข้มข้นที่นักแสดงทั้งสองคนต่างอัดใส่กันราวกับฆ่ากันได้ทีเดียว นั่นทำให้ภาพในหนังทรงพลังยิ่งขึ้นไปอีก

สรุป นี่เป็นหนังที่โพรดักชันน่าทึ่ง การแสดงน่าศึกษา เนื้อหามีความเข้มข้นเหนือจริงชวนสับสน และถ้ามองให้ลึกหนังก็มีการสะท้อนประเด็นที่ซ่อนไว้ให้คนค้นหาความหมาย ทั้งการแย่งชิงแสง ความหมายของความลุ่มหลงในนางเงือก ความผิดบาปและการลงโทษ ตลอดจนตัวตนและวัยที่ขัดแย้งกัน ประภาคารอาจเป็นสิ่งที่มากกว่าอาคารตามแต่ประสบการณ์ของแต่ละคนด้วยนั่นเอง

Jiu Jitsu (2020)

Jiu Jitsu โคตรคน ชนเอเลี่ยน ภาพยนตร์ หนังศิลปะการมต่อสู้ สไตล์เอเชีย เป็นหนัง แอคชั่น ไซไฟว์ สุดมัน มีฉากบู้ และเอฟเฟกต์ในฉากต่างๆ ที่ได้ทำออกมาอย่างดี พร้อมกับการแสดงของนักแสดงแนวบู้ระดับโลกชื่อดังของไทยอย่าง Tony Jaa หรือ จา-พนม ยีรัมย์ ซึ่งจะสามารถดึงดูผู้ชมชาวไทย และเอเชียได้ดีทีเดียว ที่สำคัญ ในหนังเรื่องนี้ได้มีฉากการถ่ายทำ จากประเทศเมียร์ม่า เพื่อนบ้านเรานี่เอง พร้อมให้ท่านสัมผัมความมันพร้อมกัน 26 พฤศจิกายนนี้

หนังระดมทีมนักแสดง ได้มาทั้งพระเอกเคยฮิตที่ตอนนี้ยึดหลักไม่เลือกงานไม่อยากจนอย่าง Nicolas Cage สมทบด้วย Frank Grillo จาก Captain America: Winter Soldier (2014) และ The Purge: Anarchy (2014), Rick Yune จาก 007 Die Another Day (2002), Alain Moussi จาก Kickboxer: Retaliation (2018), Marie Avgeropoulos จาก The 100 (2014), Juju Chan จาก Wu Assassins (2019) และ Tony Jaa หรือ จา-พนม ยีรัมย์ นักแสดงสายบู๊ชื่อดังของไทย ที่ก็จะมีหนังแฟนตาซีอีกเรื่อง Monster Hunter เข้าฉายในไทยช่วงธันวาคมเช่นกัน

หากผู้ชมไม่ติดขัดกับภาพลักษณ์ความเกรดบีของหนัง การที่ได้เห็น Nicolas Cage ถือดาบเล่มโต หวีผมยาวเรียบแปล้ ใช้ศิลปะการต่อสู้แบบเอเชียปะทะ พร้อมเพลงประกอบแบบไซเบอร์พังค์ และตัวละครที่เต็มไปด้วยความแฟนตาซี ทั้งหมดทั้งมวลนี้อาจทำให้ Jiu Jitsu กลายเป็นหนังคัลต์แห่งยุค หรือเป็นหนังที่เอาใจคอไซไฟแบบไม่ต้องอิงความสมเหตุสมผลไปเลยก็ได้

หนังจะเป็นผลงานกำกับของ Dimitri Logothetis จากหนังการต่อสู้ Kickboxer: Retaliation (2018) โดยเขาเขียนบทร่วมกับ Jim McGrath ดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนที่พวกเขาเขียนร่วมกันอีกที จะเข้าฉายในสหรัฐฯ แบบ VDO on Demand 20 พฤศจิกายนนี้ ส่วนในบ้านเราเข้าฉาย 26 พฤศจิกายนนี้

Locked Down (2021)

Locked Down ภาพยนตร์รัก โรแมนติก ที่จะพาท่านไปพบกับ ดราม่า ต่างๆ ในเรื่อง และยังสอดใส้ความตลก ให้ท่านไปแอบยิ้มไปตามๆ กัน อย่างแน่นอน โดยเรื่องนี้ถือเป็นหนังอีกเรื่องที่ แฟนๆ หนังโรแมนติก ดราม่าคอมเมดี ไม่ควรพลาดมากๆ

หนังลงสตรีมมิงทาง HBO Max ทั่วโลก (ส่วนในบ้านเราเป็น HBO Go) ก่อนเข้าฉายในอังกฤษประเทศบ้านเกิดในเดือนมีนาคมนี้เสียอีกสำหรับ Locked Down หนังที่มีทีมนักแสดงและทีมสร้างน่าสนใจสุด ๆ ไล่ไปตั้งแต่ 2 ดารานำทั้ง จิวีเทล เอจิโอฟอร์ ที่เคยเข้าชิงออสการ์นักแสดงนำชายจาก 12 Years a Slave (2013) แต่บ้านเราน่าจะคุ้นหน้าจากบท มอร์ดอ คู่ปรับร่วมสำนักของหมอแปลก Doctor Strange (2016) มากกว่า ประกบกับนักแสดงสาวมากฝีมือขวัญใจผู้ชมอย่าง แอนน์ แฮททาเวย์ เจ้าของออสการ์นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจาก Les Misérables (2012)

ซึ่งตอนแรกดูเหมือนเคมีไม่น่าจะเข้ากันได้ดีนัก เพราะเราไม่ค่อยเห็นเอจิโอฟอร์ที่มักเล่นใบหน้าเคร่งเครียดมาเล่นหนังกุ๊กกิ๊ก แต่ด้วยความมืออาชีพของทั้งคู่มันก็ไปลงตัวกันได้ ถึงโมเมนต์น่ารักอาจไม่เด่น แต่โมเมนต์อดีตคู่รักที่กลายเป็นคู่กัดกันนี่โคตรได้

นอกจากนี้หนังยังได้ดารารับเชิญดัง ๆ มาแจมผ่านเฟซไทม์ และซูม เข้าสถานการณ์โควิด-19 อีกมากมาย ที่น่าดีใจเลยคือมีลุง เบน คิงสลีย์ และ เบน สติลเลอร์ มาเป็นเซอร์ไพรส์ของหนังที่ดูเป็นธรรมชาติมาก ๆ แล้วก็น้องหนูโชแชงแห่งหนังแฮรี่ พอตเตอร์ หรือ เคที เหลียง มาโผล่ให้เกือบจำไม่ได้ด้วย แต่ที่น่ารักสุดคงเป็นเจ้าเม่นที่โผล่มาในตอนต้นของหนังแล้วถูกพูดถึงเรื่อย ๆ ตลอดเรื่อง ที่ด้านเครดิตนักแสดงยังให้ชื่อว่า เจ้าโซนิก เสียด้วย เป็นกิมมิกชวนยิ้มไม่น้อยเลย

หนังยังเป็นผลงานการกำกับในแนวโรแมนติกดราม่าคอมเมดีของผู้กำกับ ดั๊ก ไลแมน แห่ง The Bourne Identity (2002) นับตั้งแต่ไปขลุกทำหนังกับป๋า ทอม ครุยส์ อยู่ถึง 2 เรื่อง คือ Edge of Tomorrow (2014) และ American Made (2017) และสำหรับเรื่องนี้ที่ใกล้เคียงสุดน่าจะพูดได้ว่าคล้ายงานเดิมของไลแมนอย่าง  Mr. & Mrs. Smith (2005) ที่สุด เพียงแต่ลดความเว่อให้กลายเป็นรอยยิ้มแบบชาวบ้าน ๆ ใต้ข้อจำกัดของการถ่ายหนังในช่วงโควิดได้นั่นเอง เพราะนอกจากเรื่องทั้งรักทั้งชังกันไปมาของคู่รักแล้ว หนังยังต่อเรื่องราวกลายเป็นหนังปล้นสุดอลวนได้เฉยเลยด้วย คือหาจุดขายมัน ๆ จนได้สิน่า

งานนี้ยังต้องชมงานเขียนบทของ สตีเฟน ไนท์ มือเขียนบทรุ่นเก๋าที่เคยมีชื่อเข้าชิงออสการ์สาขาบทยอดเยี่ยมจาก Dirty Pretty Things (2002) มาแล้ว ในหนังเรื่องนี้คงเป็นหนังรักระหองระแหงธรรมดาไปเลย ถ้าขาดการหยอดรายละเอียดมากมายให้น่าติดตาม ไม่ว่าจะมุกกุ๊กกิ๊กน่ารักที่เราคุ้นเคยจากหนังรักสไตล์อังกฤษ ตลอดจนสถานการณ์ชวนปวดหัวที่ชวนขำและเอาใจช่วยตัวละครไปพร้อมกัน ว่าสุดท้ายคู่นี้จะรักหรือจะเลิกดีล่ะ ใครชอบหนังรักสไตล์อังกฤษอย่าง Notting Hill (1999) หรือ Love Actually (2003) ก็ถือว่าเรื่องนี้พอแก้ขัดได้ดีพอสมควรเลย

และคงต้องพูดว่าท่ามกลางความตะกุกตะกักของการเล่าที่เห็นได้ว่าเป็นผลพวงหนึ่งจากการถ่ายทำภายใต้การล็อกดาวน์ในอังกฤษ มันจึงกลายเป็นว่าหนังบันทึกช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่คนทั้งโลกต้องเผชิญผ่านทั้งเรื่องราวในหนังเองที่ตัวละครต้องอยู่แต่ในบ้าน คุยกันผ่านทางหน้าจอ เริ่มลองปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านทั้งที่ไม่เคยสนใจมาก่อน การต่อคิวแบบเว้นระยะห่างเพื่อซื้อของ การใส่หน้ากากผ้ากลายเป็นเรื่องที่ต้องกระทำ และการคุยเรื่องประกันสุขภาพถ้วนหน้าก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลทุกประเทศควรคิดอย่างจริงจัง หนังก็ยังบันทึกประวัติศาสตร์ทางอ้อมผ่านความไม่ราบรื่นของโพรดักชันที่เราจะสัมผัสได้ว่าไม่ลื่นเหมือนเคย และการจงใจใช้เฟซไทม์บ้าง ซูมบ้าง ก็เป็นการหยอดเพื่อแก้ปัญหาของตัวเองด้วย

ซึ่งเมื่อเราดูมันหนังมันจึงไม่ใช่เพียงความบันเทิงที่ได้รับ แต่เป็นพลังในการสู้กับชีวิตวันรุ่งขึ้นต่อไป ว่าถึงจะตะกุกตะกักบ้าง โดนสั่งหยุดบ้างคงไม่ต่างจากเรา ๆ ท่าน ๆ แต่ดูสิทีมนักแสดงและทีมงานกองหนึ่ง เขายังทำหนังทั้งเรื่องออกมาให้เราได้ยิ้มได้อิ่มเอมใจอยู่ตอนนี้ได้เลยนะ

Songbird (2021)

วิฤตการณ์ไวรัสโควิด-19 ถือว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญระดับโลกของปีนี้ เลยก็ว่าได้ ซึ่งถือว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญของมวลมนุษยชาติ โดยผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิต หลายล้านคน และจากเหตุการณ์นี้ทำให้ผู้กำกับอันดับต้นๆ อย่าง ไมเคิ่ล เบย์ ได้หยิบเอาเรื่องราวเชื้อไวรัสที่กำลังระบาดเวลานี้มาแต่งเติมจินตนาการ จนสกัดออกมาเป็นผลงานเรื่องล่าสุดในชื่อ Songbird  โควิด-23 ไวรัสล้างโลก

Songbird หนังสยองขวัญเรื่องใหม่ ที่ได้สร้างขึ้นจากเหตุการณ์ที่ทั้งโลกเกิดไวรัสระบาด และอยู่ในภาวะล็อกดาวน์มา 2 ปีแล้ว โดยหนังจะเล่าเรื่องราวความรักระหว่างหนุ่มขี่มอเตอร์ไซด์ส่งของกับศิลปินสาว เพื่อจะได้อยู่กับคนที่รัก พวกเขาจะต้องเผชิญกับกฎอัยการศึกของรัฐบาล กลุ่มศาลเตี้ย และตระกูลผู้มีอิทธิพล

ในโลกอนาคตปี 2024 เชื้อไวรัสโคโรน่าได้พัฒนาสายพันธุ์ในชื่อ โควิด 23 ที่กลายพันธุ์และแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วจนคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 110 ล้านคนทั่วโลก จนต้องเข้าสู่สภาวะล็อคดาวน์ด้วยการออกกฎขั้นเด็ดขาด โดยให้ผู้คนอยู่ในที่พักอาศัย หากใครฝ่าฝืนหรือละเมิดก็จะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด ทำให้เกิดเรื่องจนได้เมื่อ นิโก ชายหนุ่มผู้มีภูมิคุ้มกันต้องรีบไปช่วย ซาร่า แฟนสาวที่ถูกสงสัยว่าติดเชื่อโควิดก่อนที่เจ้าหน้าที่จะบุกมาหาเธอไม่กี่ชั่วโมง ทำให้เขาต้องฝ่ามฤตยูไวรัสล้างโลกพร้อมกับช่วยแฟนของเขาก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

ในส่วนของนักแสดงด้านฝั่งพระ-นาง ก็ได้ เคเจ อาปา นักแสดงจากนิวซีแลนด์รับบทเป็น นิโก ชายหนุ่มที่ไม่ได้พบแฟนสาวหลังเหตุการณ์วิกฤตไวรัสระบาดก่อนจะฝ่าเชื้อไวรัสไปช่วยเธอในวันที่เธอกำลังถูกทางการต้องการตัว ส่วนทางด้านนางเอกก็จะได้ โซเฟีย คาร์สัน นักแสดงสาวที่มีผลงานภาพยนตร์ทางจอแก้วกับดิสนีย์พลิกบทบาท ในบท ซาร่า หญิงสาวที่ถูกเจ้าหน้าที่ต้องการตัวหลังถูกต้องสงสัยว่าติดเชื้อหรือไม่

นอกจากนี้ยังมีนักแสดงสมทบมากฝีมือมากมาย อาทิ อเล็กซานดร้า ดาแดริโอ, เดมี่ มัวร์, เคร็ก โรบินสัน, แบรดลีย์ วิธฟอร์ด

ร่วมเอาใจช่วยพร้อมฝ่าวิฤตไวรัสนรกไปด้วยกัน ใน Songbird โควิด23 ไวรัสล้างโลก โดยกำหนดฉาย วันที่ 21 มกราคม 2021 ทุกโรงภาพยนตร์

The End of The Storm (2021)

The End of The Storm เป็นภาพยนตร์ สารคดี ประวัติศาสตร์ ของสโมสร ลิเวอร์พูล ที่ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการ ฉลองการยุติการรอคอยกว่า 30 ปี หลังจากที่ ลิเวอร์พูล ได้คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เป็นสมัยแรก ได้สำเร็จ โดยหนังเรื่องนี้ ถือว่าเป็นการฉลองให้กับ เดอะค้อป หรือสาวก หงส์แดง อย่างแท้จริง

ซึ่งภายในหนังเรื่องนี้ ได้มีการเปิดเผยข้อมูลลับเฉพาะ จากการสร้างหนังเรื่องนี้ ที่มีแต่คนภายในเท่านั้นที่รู้ รวมถึงเหตุการณ์ สำคัญต่างๆ ของสโมสรลิเวอร์พูล ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ที่จะถูกนำมาเปิดเผยในหนังเรื่องนี้ พร้อมกันทั่วโลก ในวันที่ 14 มกราคม 2021

แฟนหงส์เตรียมฉลองแชมป์บนจอใหญ่พร้อมกันอีกครั้ง กับชัยชนะท่ามกลางมรสุมที่รอคอยมา 30 ปี ผ่านภาพยนตร์สารคดี “The End of The Storm” ที่จะพาคุณไปร่วมสัมผัสการฝ่าฟันอุปสรรคของทีมฟุตบอลสโมสรชื่อดังระดับโลกอย่าง “ลิเวอร์พูล” สู่ความสำเร็จที่แฟนทั่วโลกรอคอยกับการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2019-20            

ครั้งแรกของโลกกับการเจาะลึกเบื้องหลังความสำเร็จสู่แชมป์ครั้งประวัติศาสตร์ อัดแน่นไปด้วยบทสัมภาษณ์และฟุตเทจเบื้องหลังสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ไม่เคยเผยแพร่ที่ไหนมาก่อน The End of The Storm รวบรวมเหตุการณ์ในระหว่างที่ทั่วโลกหยุดชะงัก แต่ความหวังและความฝันของทีมยังคงไปต่อ ฝ่ามรสุมจนไปถึงการแชมเปี้ยนท่ามกลางวิกฤต โดยได้ เจอร์เกน คลอปป์ ผู้จัดการทีม และ เคนนี่ ดัลกลิช ตำนานสโมสรเป็นผู้นำเสนอเรื่องราวที่ไม่เคยมีใครรู้ ร่วมด้วยการสัมภาษณ์สุดพิเศษจากนักเตะชุดใหญ่ของทีม ไม่ว่าจะเป็น จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ซาดิโอ มาเน่, โรเบอร์โต้ เฟอร์มิโน่, เวอร์จิล ฟาน ไดค์ และ อลิสซอน เบ็คเกอร์ รวมไปถึงแฟนๆผู้คลั่งไคล้จากรอบโลก

ผ่านฝีมือของผู้กำกับ เจมส์ เออร์สคีน (The Ice King, Billie, One Night in Turin, Le Mans: Racing is Everything) ซึ่งได้ไอเดียมาจากเรื่องราวอันน่าสนใจของสโมสร Rwanda Reds ที่เป็นการรวมตัวของแฟนคลับ ลิเวอร์พูลในเมืองคิกาลี ประเทศรวันดา กับการที่พวกเขาใช้ฟุตบอลเพื่อเยียวยาบาด แผลจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในปี 1994 เราค้นพบว่าผู้คนแชร์ความรักต่อทีมลิเวอร์พูลมารวมตัวกันจนเหมือนเป็นครอบครัวที่สองของพวกเขา  โปรเจคต์นี้คล้ายกับการวางแผนคว้าแชมป์ของคลอปป์ เราเริ่มต้นถ่ายภาพยนตร์ท่ามกลางหายนะโรคระบาด อุปสรรคต่างๆ พร้อมทั้งความลังเลที่ไม่รู้ด้วยซํ้าว่าทีมจะคว้าแชมป์ได้มาหรือไม่

“มันเป็นมรสุมที่ยาวนานเหลือเกิน ทุกคนต่างใฝ่ฝันถึงความสำเร็จของพวกเรา เราต้องมุ่งหน้าต่อไป” – เจอร์เกน คลอปป์

ครั้งแรกกับการเปิดบทสัมภาษณ์พร้อมฟุตเทจที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน แฟนหงส์แดงเตรียมร่วมฉลองชัยชนะแห่งประวัติศาสตร์อีกครั้งใน The End of The Storm ภาพยนตร์ที่เกิดเป็นแฟนลิเวอร์พูลต้องดูสักครั้งในชีวิต 14 มกราคมนี้ ในโรงภาพยนตร์

Pieces of a Woman (2021)

Pieces of a Woman ภาพยนตร์ฟอร์มเล็ก จาก netflix ที่พึ่งฉายในต้นปี 2021 ที่ผ่านมา ถือเป็นหนังอีกเรื่องที่ ดราม่า แบบเรียลๆ ตลอดทั้งเรื่อง และยังมีการเพิ่ม ฉากสะเทือนอารมณ์ ให้ผู้ชมได้ตื่นเต้นๆ เป็นระยะแบบเต็มอิ่มตลอด 2 ชั่วโมงเต็ม กันเลยทีเดียว

โดยหนังเรื่องนี้ ได้เป็นม้ามืดคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์เวนิซ อย่างเหนือความคาดหมายทำให้ Netflix ไม่รอช้าคว้าสิทธิในการนำ Pieces of a Woman หนังฟอร์มเล็กสุดสะเทือนอารมณ์ที่มีใบหน้าสวย ๆ ของวาเนสซา เคอร์บีมาเรียกแขกพร้อมประกบกับดาราเคยดังอย่างไชอา ลาเบิฟ ในเรื่องเล่าสุดเศร้าใจสลายสำหรับเพศแม่ ออกมาเป็นหนังที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับ ครอบครัว ที่ต้องการคลอดลูกที่บ้าน สุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไร ไปหาคำตอบจากหนังเรื่องนี้ได้เลย

มาร์ธา (วาเนสซา เคอร์บี) มุ่งมั่นจะคลอดลูกของเธอที่บ้านโดย ฌอน (ไชอา ลาเบิฟ) สามีของเธอก็ไม่ติดขัดอะไร แต่ทว่าหลังความพยายามทำคลอดที่บ้านล้มเหลวทิ้งไว้เพียงบาดแผลที่ลูกของเธอต้องตายคาอก แต่นอกจากโศกนาฏกรรมเรื่องลูกแล้วมาร์ธายังต้องกลับไปเผชิญหน้ากับทั้งคดีฟ้องร้องที่ทั้งฌอนและเอลิซาเบธ (เอลเลน เบิร์นสตีน) แม่ของเธอต้องการให้จัดการฟ้องร้อง เอวา (มอลลี พาร์คเกอร์) นางผดุงครรภ์ที่ทำให้ลูกของเธอต้องตาย แถมยังต้องรับมือกับอาการจิตหลุดของฌอนหลังสูญเสียลูก แต่เหนืออื่นใดคือเธอต้องต่อสู่กับปมความสูญเสียที่กำลังกัดกร่อนบ่อนเซาะสภาพจิตใจของเธออยู่ทุกวัน

ก่อนอื่นต้องบอกว่างานกำกับชิ้นนี้ของ กอร์เนล มุนดรักโซ ผู้กำกับมือรางวัลจาก White God ดูมีความคล้ายคลึงกับ Marriage Story ของ โนอาห์ บอมแบค เมื่อปี 2019 ในแง่ของการหยิบจับความแหลกสลายของครอบครัวมาเล่าเป็นแกนกลางของเรื่องแต่ทว่า Pieces of a Woman กลับเลือกปมปัญหาที่รุนแรงและแหลกสลายทางจิตใจมากกว่าด้วยการหยิบจับการสูญเสียลูกมาเป็นแกนกลางของปมปัญหาที่ทำให้ตัวละครต้องข้ามผ่าน

ซึ่งด้วยปมปัญหาดังกล่าวมันเลยทำให้ฉากเปิดเรื่องที่ประกอบด้วยซีเควนซ์เปิดตัวที่ดูเข้มข้นมาก ๆ ได้แก่ซีนเปิดตัวฌอนที่พยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้สะพานข้ามแม่น้ำเสร็จทันลูกสาวที่อยู่ในท้องภรรยา ซีนซื้อรถที่แม่อย่างเอลิซาเบธออกเงินและแสดงท่าทีรังเกียจผู้ชายมีตำหนิอย่างฌอน และแน่นอนซีนที่กินเวลายาวนานที่สุดและถือเป็นซีนที่ “เล่นกับหัวใจคนดูที่สุด” นั่นคือซีนคลอดอันล้มเหลว

โดยซีนคลอดนี้ทำให้เห็นว่า กอร์เนล มุนดรักโซ ได้ดีไซน์การถ่ายทำแบบลองเทคให้มันออกมาน่าตื่นเต้นทั้งการเคลื่อนกล้องการวางบล๋็อกกิงที่ชวนให้คนดูลุ้นระทึกกับการให้กำเนิดบุตรของมาร์ธา ซึ่งต้องยอมรับในการแสดงของทั้งวาเนสซา เคอร์บี ไชอา ลาเบิฟ และมอลลี พาร์คเกอร์ ที่ทำเอาคนดูเกือบลืมหายใจ จนน่าจะยกให้เป็นซีนหนังที่ชวนลุ้นที่สุดซีนหนึ่งของปีได้เลยทีเดียวแต่กระนั้นการที่มันเปิดตัวได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจก็ยังหมายถึงการต้องคงความเข้มข้นน่าติดตามให้ไม่แพ้บรรดาซีนเปิดเรื่อง

หากกล่าวโดยความเป็นจริงคือหลังจากซีเควนซ์เปิดตัวดังกล่าวจะมีส่วนที่ยากสำหรับคนดูจริง ๆ คือการต้องตามติดความพังของชีวิตมาร์ธาและฌอนซึ่งมีแต่ทำให้เหตุการณ์แย่ลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งหนังก็สานต่อซีเควนซ์เปิดตัวด้วยการนำเสนอตัดสลับกับพัฒนาการของสะพานข้ามแม่น้ำที่ฌอนสร้างตอนต้นเรื่องเพื่อหล่อเลี้ยงอารมณ์และเปรียบเปรยกับชีวิตของมาร์ธาในช่วงการพังครืนของชีวิตครอบครัว

ซึ่งคนดูจะได้เห็นทั้งการก้าวข้ามความสัมพันธ์ที่ถึงทางตันของมาร์ธากับณอน การที่มาร์ธาต้องรับมือกับเอลิซาเบธแม่ที่กำลังเป็นอัลไซเมอร์ของเธอและส่วนที่เข้มข้นที่สุดคือฉากขึ้นศาลในซีเควนซ์ท้ายเรื่องที่เป็นบทสรุปให้กับเรื่องราวและชื่อเรื่องที่ว่าเศษเสี้ยวหัวใจหญิงก็ได้รับการสรุปจบรวบตึงได้อย่างงดงามแม้จะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม

โดยนอกจากการแสดงของ 3 นักแสดงนำที่ผมได้ชื่นชมไปแล้วในฉากคลอดลูกแต่กระนั้นในซีนรวมญาติกลาง ๆ เรื่องเราก็ไม่อาจละเลยการแสดงระดับเพชรน้ำเอกของเอลเลน เบิร์นสตีนที่ถ่ายทอดบทบาทแม่ได้อย่างเปี่ยมความเป็นมนุษย์ ทั้งสายตาและน้ำเสียงของเธอเจือปนทั้งความผิดบาป ความเป็นห่วงและการจุดไฟในชีวิตให้ลูกสาวได้อย่างน่ายกย่องทีเดียว

โดยภาพรวมแล้ว Pieces of a Woman อาจไม่ใช่งานดูเพื่อความบันเทิงเปิดปี 2021 นักแต่หากใครเป็นคอหนังดรามาที่ชอบเสพย์เรื่องราวเรียล ๆ ของความสัมพันธ์โดยเฉพาะใครที่ชอบ Marriage Story รับรองว่า Pieces of a Woman ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน

Lupin (2021)

ลูแปง อีกหนึ่งซีรี่ย์ปี 2021 ของเน็ตฟริกซึ่งในตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในไทย หลังการเปิดตัวในวันที่ 8 มกราคม ออกมาทั้งหมด 5 ตอน โดยในซีรี่ย์เรื่องนี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากวีรกรรมของสุภาพจอมโจรอาร์แซน ลูแปง ที่ตั้งใจแก้แค้นให้พ่อที่ได้รับความยุติธรรมจากครอบครัวที่มั่งคั่ง ในเรื่องนี้ดำเนินเรื่องราวอยู่ในประเทศฝรั่งเศษ

จอมโจรลูแปง หนึ่งในตัวละครสุภาพบุรุษจอมโจรบรรลือโลกของมัวริซ เลอบลองก์ที่มีต้นกำเนิดมาต้้งแต่ปี 1905 หรือร่วมร้อยกว่าปีแล้วแถมยังส่งอิทธิพลไปทั่วโลก อย่างฮ่องกงเองโกวเล้งก็หยิบยืมคาแรกเตอร์ลูแปงไปแต่งองค์ทรงเครื่องเพิ่มกำลังภายในและเสน่ห์ต่อสาว ๆ จนกลายเป็นจอมโจรจอมใจชอลิ้วเฮียง เมื่อ 50 กว่าปีก่อน

ฮัสซัน (โอมาร์ ไซ) ชายหนุ่มผิวสีสุดล่ำอาจดูเหมือนคนทำความสะอาดสุดต้อยต่ำแห่งพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ แต่ใครจะรู้ว่าในหัวของเขากำลังคิดแผนปล้นสร้อยพระศอของพระนางมารีอังตัวเนตที่จะจัดประมูลในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ยิ่งกว่านั้นคือเบื้องหลังแผนปล้นเหนือเมฆครั้งนี้กลับเต็มไปด้วยเพลิงแค้นที่เขามีต่อครอบครัวเพลลิกรินีที่เป็นผู้จัดประมูล แต่ความแค้นที่กินเวลายาวนานร่วม 25 ปีจะได้รับการสะสางหรือไม่

สิ่งหนึ่งที่ต้องยกย่องมากๆ สำหรับซีรีส์ LUPIN เรื่องนี้คือการพยายามแหวกขนบการแคสต์นักแสดงหน้าตาดีตามพิมพ์นิยมมารับบทนำ แถมด้วยการดึงปัญหาการเมืองของประเทศตัวเองมาวิพากษ์วิจารณ์ในตัวเรื่องได้แบบเนียน ๆ อีกด้วย สำหรับบทซีรีส์จะพบว่าแม้จะมีแรงบันดาลใจหลักอย่างการนำ อาแซง ลูแปง ตัวละครชื่อดังมาต่อยอดแต่การเริ่มเรื่องด้วยปัญหาการเหยียดผู้อพยพก็นับว่าดึงเราไปเผชิญปัญหาของฝรั่งเศสได้แบบตรงไปตรงมาจนน่าตกใจไม่น้อย

โดยการที่บทซีรีส์เลือกเล่าเรื่องโดยมีเรื่องราวพ่อลูกผู้อพยพชาวเซเนกัลอย่างโบบาและฮัสซันเป็นเหมือนแกนกลางเรื่องล้างแค้นของซีรีส์ก็ทำให้เห็นว่าแม้แต่เสรีภาพและความยุติธรรมของพวกเขาก็ยังถูกขโมยไปในประเทศที่ยึดหลักภราดรภาพและความหลากหลายทางเชื้อชาติที่สุดประเทศหนึ่งในโลกอย่างฝรั่งเศส และแม้มันจะเหมือนเป็นใบเบิกทางให้ผู้สร้างได้แคสติง โอมาร์ ไซ มารับบทนำแต่ความจริงแล้วมันกลับกำลังแสดงถึงศักยภาพและเสน่ห์ของนักแสดงฝรั่งเศสสุดฮอตรายนี้ต่างหาก

สำหรับ โอมาร์ ไซ ถือเป็นนักแสดงฝรั่งเศสงานชุกคนหนึ่งเลยสำหรับใครที่เคยเข้าโรงดูหนังฝรั่งเศสปีก่อนน่าจะคุ้นเคยหนังพ่อลูกสุดอบอุ่นอย่าง The Lost Prince ที่หยิบเอานิทานเจ้าชายน้อยมาเป็นแรงบันดาลใจ และสำหรับ LUPIN ไซก็รับบทฮัสซันได้อย่างมีเสน่ห์ทั้งในสูทมาดเท่ตอนปล้นเพชรหรือการแสดงฉากดราม่าเมื่อพูดถึงอดีตอันเจ๋็บปวดจนเราอดใจช่วยฮัสซันไม่ได้เลย

ด้านโปรดักชันก็ไม่ต้องห่วงเลยเพราะแค่ตอนแรกที่ซีรีส์เริ่มเรื่องที่พิพิธภัณฑ์ลูฟว์ก็ทำให้เห็นเลยว่ามันลงทุนกับงานโปรดักชันแค่ไหน ฉากแอ็กชันขับรถไล่ล่าไปจนถึงฉากจารกรรมต่างๆ ทำได้อย่างดีและตอนท้าย ยังมีฉากแอ็กชันบนรถไฟที่ทำได้น่าตื่นเต้นอีกด้วย

และสิ่งที่เซอร์ไพร์สมากๆ คือตัวบทซีรีส์ที่ตอนนี้มีลงสตรีมมิง 5 ตอนและแต่ละตอนก็เข้มข้นมากเต็มไปด้วยปมต่างๆ ของเรื่องที่เราคาดไม่ถึงเต็มไปหมด และไม่ใช่แค่เรื่องจารกรรมเท่านั้น แต่มันยังมีมุมโรแมนติกระหว่างฮัสซันกับแคลร์ที่รับบทโดย ลูดิวีน ซาญนิเยร์ สาวสวยที่เคยทำหนุ่ม ๆ หัวใจกระเจิงจาก Swimming Pool ของฟรังซัวส์ โอซง ที่มารับบทโรแมนติกคู่กับโอมาร์ ไซได้อย่างน่ารักน่าชัง

Horizon Line (2020)

Horizon Line หนังแนวทริลเลอร์ ที่ใช้การแสดงในพื้นที่แคปๆ โดยในเรื่องนี้ได้ใช้พื้นที่บนเครื่องบินเล็ก กับคู่รัก ด้วยตัวละครที่น้อย แต่ไม่ได้ทำให้หนังดูน่าเบื่อ ด้วยตัวเรื่องของหนังเองมีฉากที่ต้องให้เอาตัวรอดมากมาย ที่จะทำให้ท่านตื่นเต้น จากวิกฤติเหนือพื้นโลกกว่าพันฟุต ถือว่าเป็นอีกเรื่องน่าดูส่งท้านปีเลยทีเดียว

โดยภายในหนังจะเล่าถึง ซารา (แอลลิสัน วิลเลียมส์) สาวเมืองลอนดอนที่ต้องเดินทางไปงานแต่งงานของเพื่อนสาวแต่คืนก่อนวันงานนางดันไปแวะไปซั่ม แจ็กสัน (อเล็กซานเดอร์เดร์ยมอน) หนุ่มหล่อนักดำน้ำที่นางเคยเทเมื่อปีกลายและแน่นอนว่าทั้งคู่ไปไม่ทันเรือเที่ยวสุดท้ายจนตัดสินใจจ้างเครื่องบินของ ไวแมน (คีธ เดวิด) ที่เคยสอนซาราให้ขับเครื่องบิน แต่แล้วความซวยก็มาถึงเมื่ออยู่ดี ๆ ไวแมนเกิดหัวใจวายตาย งานนี้ซาราและแจ็กสันต้องเลิกทะเลาะกันเพื่อนำเครื่องบินลงจอดให้ได้

แน่นอนว่าพลอตแบบนี้ เล่นกับสถานการณ์คับขันในที่เดียวแบบนี้หลานคนคงนึกถึงหนังอย่าง shallows หนังฉลามที่เดินเรื่องอยู่ในทะเลที่เดียวและตัวละครรายเดียวซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะหนังได้ ฆัวเม่ คอลเลต-เซอร์รา ผู้กำกับจากหนังที่ว่ามานั่งแท่นผู้อำนวยการสร้างบริหารของหนังนั่นเอง แล้วให้ มิคาเอล มาร์กซิแมง ผู้กำกับชาวสวีเดนที่มักมีแต่ผลงานซีรีส์ในบ้านเกิดมาชิมลางงานหนังสไตล์ฮอลลีวูดดูบ้าง

ยอมรับว่าดูแว่บแรกนึกถึงหนังโรแมนติกผจญภัยอย่าง six days seven nights (1998) ที่เคยขายเสน่ห์ของแฮริสัน ฟอร์ด กับความเซ็กซี่ของแอนน์ เอช แต่กับ Horizon Line ด้วยความที่หนังตั้งใจไปขายพลอตสุดโต่งอย่างการเอาตัวรอดบนเครื่องบินที่คนขับตาย สุดท้ายไอ้ประเด็นที่หนังพยายามปูตอนต้นร่วม 20 นาทีอันว่าด้วยความสัมพันธ์ของซารากับแจ็กสันดูเหมือนส่วนเกินไปอย่างน่าเสียดาย

เหตุเพราะบทหนังแทบไม่ได้ให้เหตุผลอะไรที่เราจะต้องร่วมลุ้นไปกับตัวละครเลยแม้ว่าจะนำแสดงโดยนักแสดงหน้าตาดีแต่กลับขาดเสน่ห์ไปซะอย่างงั้น ที่น่าเสียดายที่สุดคือแอลลิสัน วิลเลียมส์ ที่เคยแสดงเป็นแฟนสาวผิวขาวสุดหลอนของพระเอกใน Get Out ที่คราวนี้มารับบทนำเป็นสาวชีพจรลงเท้ากลัวความสัมพันธ์แต่แทนที่หนังจะไปเน้นที่ปมจิตวิทยาว่านอกจากรักงานแล้วเธอมีเหตุผลอะไรอีกหรือเปล่าที่ทำให้ไม่สามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีได้ แต่หนังกลับให้เธอแค่ไปตี๊ดชิ่งฟันแล้วหนีแถมยังแสดงกิริยาน่ารำคาญแทบทั้งเรื่องจนเรายากที่จะเอาใจช่วย

ส่วน อเล็กซานเดอร์ เดร์ยมอน หนุ่มหล่อที่มาเล่นเป็นแจ๊กสันก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากโดนแก้ผ้าและถูกเอารัดเอาเปรียบ ทำหน้างอนเป็นตูดแล้วจบด้วยหน้ามึน เบลอ ๆ แฮง ๆ ทั้งเรื่องจนอดอุทานไม่ได้ว่าถ้าลำบากนักก็ไม่ต้องแสดงก็ได้นะ หากใครไม่เชื่อไปพิสูจน์ได้นะครับยกระดับจากซังกะตายไปสู่หล่อตายซากได้ทั้งเรื่องเลย

แต่กระนั้นส่วนดีของหนังที่เราไม่พูดถึงไม่ได้คงเป็นลำดับการใส่อุปสรรคให้ตัวเอกเนี่ยละครับ เพราะเอาจริง ๆ พอหนังเข้าโหมดที่ตัวละครต้องเอาตัวรอดอันนี้ถือว่าหนังพอจะแก้ตัวเรื่องนักแสดงนำขาดเสน่ห์หรือปูตัวละครได้ไม่ดีเท่าที่ควรแบบเอาตัวรอดได้แบบเฉียด ๆ เลยคือถึงแม้ลีลาการเล่าเรื่องจะไม่ได้ใหม่มากมีแอบลอกหนังเกรดบีแบบ Turbulence (1997) มานิด ๆ แต่ยอมรับว่ามันก็ยังพอให้ลุ้นได้เบา ๆ ครับแม้สเปเชียลเอฟเฟกต์อาจยังดูไม่เนียนนักเมื่อเทียบกับหนังที่ทุนสร้างสูงกว่านี้

Monster Hunter (2020)

Monster Hunter หนังดีส่งท้ายปี 2020 ที่ได้ทุมทุ่นสร้างอย่างมหาสาร ประกอบกับการดึงนักแสดงแถวหน้าของวงการหนังแอคชั่นอย่าง มิลล่า โจโววิช ที่เราเห็นฉากบู้จากหนังเรื่อง ผีชีวะ และ จา พนม นักแสดงชาวไทย ได้ร่วมแสดงอีกด้วย ถือว่าเป็นหนังที่สร้างมาจากเกม แนว แอคชั่น แฟนตาซี

จากผู้กำกับ Paul W.S. Anderson ซึ่งถือว่าเป็นผู้กำกับชื่อดังเรื่องทำหนังจากเกมคนนึงเลย การันตีด้วยผลงานอย่าง Mortal Kombat, Dead or Alive, และหนังยาว 6 ภาคอย่าง Resident Evil ซึ่งก็มีทั้งข้อดีข้อเสียปะปนกันในไปผลงานที่แล้วๆ มาของชายคนนี้ ซึ่งเขายังพกพานักแสดงนำคู่ขวัญ และเป็นภรรยาเจ้าตัวด้วยอย่างมิลล่า โจโววิช หรือ อลิซ จากหนัง Resident Evil มาทำงานต่ออีกด้วย นอกจากนั้นยังมีนักแสดงบทบู๊ขวัญใจชาวไทยอย่างพี่ จา พนม มาร่วมสมทบด้วยอีกคน

ตัวหนังมีความพยายามขายแฟนคลับของเกมค่อนข้างมาก ด้วยการชูโรงมอนสเตอร์เด่นจากเกมเช่นราทารอส และเดียโบรอสแถมยังบัพขนาดตัวให้ใหญ่กว่าในเกมถึงประมาณ 3 เท่าเพื่อให้กินคนในเรื่องได้สะดวกโยธินแบบไม่ต้องเสียเวลากัดแต่อย่างใด

ไม่พอยังพาตัวละครสมทบจากเกมมาเต็มอัตราโดยเฉพาะจากภาค World ที่ขายดีถล่มทลาย เรียกได้ว่าขายแฟนเซอร์วิสให้คนที่เริ่มต้นเล่นเกม Monster Hunter จากภาค World สบายๆ ด้วยภาพ CG ที่สวยงามของมอนสเตอร์ทุกตัว

เสียงประกอบที่แสดงความน่าเกรงขามของมอนสเตอร์ได้ดีมาก ตัวไหนจะทำให้น่ากลัวเป็นหนังเอเลี่ยนสยองขวัญก็ทำได้ ถือว่าครบเครื่องครับกับทุกสิ่งที่เกี่ยวกับการเข้าไปดูมอนสเตอร์ทั้งหลายจากเกม แต่ปัญหามันเริ่มเกิดจากจากเส้นเรื่อง และความว่างเปล่าของบทหนังเสียมากกว่า

หนังเล่าถึงตัวเอกที่เป็นหัวหน้าทหารรับจ้างกองหนึ่งชื่อว่า อาเทมิส ที่ไปตรวจสอบสถานที่ที่คนสูญหายไปกลางทะเลทราย ก่อนที่ทั้งหน่วยจะถูกพาข้ามมิติไปยังโลก Monster Hunter และต้องเอาตัวรอดจากเหล่าสารพัดสัตว์ประหลาดที่พร้อมจะฆ่าคุณได้ทุกเวลา เพื่อที่จะหาทางกลับโลกเดิมให้ได้อีกครั้ง(เพื่ออะไรก็ไม่รู้หนังไม่บอก) โดยต้องร่วมมือกับเหล่านักล่าในโลกนั้นหยุดภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น

นอกจากพี่จาที่แสดงเป็น Field Team Leader แล้ว ตัวละครอื่นๆ ไร้ที่มาที่ไป ไม่มีความต้องการที่จะให้เรารู้จักพวกเขามากกว่าการแสดงตัวบนหน้าจอภาพยนตร์แล้วก็หายไป หากพูดกันตามตรงนี่เป็นหนังของสองตัวเอกหลักเท่านั้นจริงๆ ดีนะเนี่ยไม่มีสูตรหนังฮอลลีวู้ดที่จู่ๆ ทั้งสองคนจะรักกัน มีความพยายามสอดแทรกมุขตลกเข้ามาเรื่อยๆ แต่ได้แค่ขำแห้ง หรือไม่ก็ไม่ขำเลยเสียมากกว่า

แฟนเซอร์วิสที่ไม่สุด ซึ่งถ้าเล่าไปคงเข้าข่ายสปอยหนังแล้ว บอกแค่ว่าเราเห็นแล้วว่ามีเท่าไรก็มีเท่านั้น นอกจากนั้นยังมีมอนสเตอร์ตัวหนึ่งที่ค่อนข้างปรากฏตัวได้น่าผิดหวังมากๆ และคงทำได้ดีกว่านี้ถ้าให้เวลาในหนังอีกสัก 30 นาที แต่หนังมันก็จะยาวไปเสียเปล่าๆ

ช่วงท้ายมีความ Sequel Bait หรือ Cliffhanger อย่างมาก เหมือนสมัยหนัง Resident Evil ของเจ้าตัวเองเลย ซึ่งส่วนตัวไม่ชอบแบบนี้เท่าไร เพราะการทำหนังที่คาดหวังว่าจะได้ทำภาคต่อแน่นอน และไม่มีตอนจบที่น่าจดจำจะทำให้หนังเรื่องหนึ่งดูแย่เสียเปล่าๆ