Raya and the Last Dragon (2021)

Raya and the Last Dragon เป็นการกลับมาอีกครั้งสำหรับหนังการ์ตูนของดิสนีย์ ซึ่งหนังเรื่องนี้ถือเป็นหนังฟอร์มดีอีกเรื่องที่คู่ควรแก่การไปดู ที่มาเข้าฉายต้องแต่ต้นปี แต่โชคร้ายช่วงโควิดอาจทำให้รายได้ไม่เปรี้ยง เหมือนหนังอย่างอย่าง Onward และ Soul ที่ฉายไปในปีที่แล้ว

โดยจากการดูตัวอย่างหนัง เจ้าหญิงเรื่องใหม่ที่มีกลิ่นอายของภูมิภาคเอเชีย ที่ทำออกมาได้สวยงาม และน่าติดตามอย่างมาก และจากตัวอย่างที่ 2 ของ Raya and the Last Dragon ก็เผยให้เห็นถึงตลาดน้ำ เรือ วัด สถานที่มีความคล้ายกับบ้านเราอีกด้วย

หนังจะเล่าเรื่องราวแนวเจ้าหญิงในเทพนิยายแต่ความแปลกใหม่จะอยู่ตรงนี้ ฉากหลังของเรื่องราวนั้นได้แรงบันดาลใจจากภูมิภาคเอเชียอาคเนย์หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เรียกกันในปัจจุบันซึ่งก็คือภูมิภาคที่ประเทศไทยตั้งอยู่ เนื้อหาในหนังจะเป็นการผสมผสานระหว่างการ์ตูนคลาสสิกของ Disney กับเรื่องราวแนวการต่อสู้แบบกังฟู เรื่องราวเกิดขึ้นในเมืองลึกลับชื่อกุมันดรา (Kumandra) เมืองแห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็น 5 ส่วน ตัวเอกของเรื่องเป็นสาวน้อยชื่อ Raya นักรบผู้ต้องเสาะหามังกรตัวสุดท้ายเพื่อนำแสงสว่างกลับคืนสู่อาณาจักรอีกครั้ง

หนังยังเผยตัวละครตัวนิ่มเพื่อนใหม่ของ Raya ที่หน้าตาหน้าเอ็นดูที่มีชื่อเหมือนรถโดยสารบ้านเราว่า “ตุ๊กตุ๊ก” ซึ่งผู้อำนวยการสร้าง Osnat Shurer เปิดเผยว่า ตุ๊กตุ๊กไม่ได้ถูกสร้างให้เป็นเพื่อนกับ Raya แต่แรก แต่ตัวละครนี้ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้งานในการเป็นพาหนะสำหรับขนส่งของ Raya ต่อมาเธอได้พัฒนาตัวละคร ตุ๊กตุ๊กให้มีบทบาทเยอะขึ้นและในที่สุดก็ได้เป็นเพื่อนร่วมทางของ Raya ผู้สร้างจึงตัดสินใจให้ตุ๊กตุ๊กมีส่วนร่วมตั้งแต่ Raya ตอนยังเป็นเด็กอยู่ แถมตุ๊กตุ๊กตัวนี้ยังน่ารักและเป็นที่รักของทีมงานสร้างสรรค์ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นหนังเจ้าหญิงดิสนีย์ก็มักจะมีตัวละครเคียงคู่เจ้าหญิงที่น่ารักและโดดเด่นในทุกเรื่องอยู่แล้ว นอกจากนี้ตัวละครสมทบในเรื่องก็ยังเผยในตัวอย่างว่า มีทั้งชื่อ น้อย ทอง และบุญ

Skylin3s (2021)

Skylin3s หนังแอคชั่น ไซไฟ แนวผจญภัย ในเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ การเดินทางไปในอวกาศ และเอเลียน ถือว่าเป็นหนังน่าดูในเดือนนี้ ซึ่งหนังเรื่องนี้ได้รับคำชมมากจากภาคที่ 1-2 และประสบความสำเร็จอย่างมาก จากยอดผู้ชมจากทั่วโลก

ในตอนที่หนังไซไฟฟอร์มรองหรืออาจจะเรียกว่าหนังเกรด B อย่าง Skyline (2010) เข้าฉายเมื่อ 11 ปีก่อน แฟนหนังคงไม่นึกว่า หนังจะประสบความสำเร็จขนาดมีภาค 2 และ 3 ตามมา แต่ตอนนี้หนังภาค 3 ก็ใกล้จะเข้าฉายในบ้านเราแล้ว ภาคแรกนั้นทำรายได้รวมทั่วโลกไป 66 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้าง 10 ล้านเหรียญฯ ส่วนภาค 2 Beyond Skyline (2017) ได้นักแสดงอย่าง Frank Grillo จาก Captain America: The Winter Soldier (2014) มานำแสดง แต่ทำรายได้ไม่ค่อยดีและหนังไปฉายแบบโฮมวิดีโออย่างรวดเร็ว

ภาค 3 ซึ่งจะเป็นตอนปิดไตรภาค มีชื่อว่า Skylines (หรือเขียนแบบเท่ ๆ ว่า Skylin3s) เนื้อหาจะต่อจากตอนจบของภาคที่แล้วที่ทิ้งปมเอาไว้ เมื่อกลุ่มมนุษย์ที่เหลือรอดได้ใช้ยานของเอเลียนเดินทางข้ามจักรวาลไปยังดาวบ้านเกิดของเอเลียน เพื่อติดตั้งระเบิดเพื่อทำลายดาวดวงนั้นให้สำเร็จ ก่อนที่ไวรัสที่เอเลียนได้ส่งมายังโลกจะฆ่ามนุษย์จนหมด Lindsey Morgan จากภาค 2 กลับมารับบทเป็นผู้กอง Rose มนุษย์ข้ามสายพันธุ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ที่ถูกเอเลียนเอาไปดัดแปลง ทำให้เธอมีพลังพิเศษและจะเป็นผู้นำภารกิจทำลายดาวเอเลียนในครั้งนี้

Liam O’Donnell ผู้ร่วมสร้างหนังภาคแรก รวมถึงเป็นผู้กำกับและเขียนบทของหนังภาค 2 ได้กลับมาทำหน้าที่กำกับและเขียนบทภาคนี้อีกครั้ง นักแสดงสมทบของหนังยังประกอบไปด้วย Jonathan Howard จาก Godzilla: King of the Monsters (2019), Daniel Bernhardt จากซีรีส์ Altered Carbon, Rhona Mitra จาก Doomsday (2008) และ James Cosmo จาก Braveheart (1995) ใครที่ชอบหนังไซไฟเอเลียน Aliens (1986) ของ James Cameron ผสม ID4 (1996) และชอบหนังแนว found footage ในภาคแรกผสมศิลปะป้องกันตัวในภาค 2 แล้วกลายเป็นอย่างที่เห็นในภาค 3 นี้

Tom and Jerry (2021)

Tom and Jerry หนังการ์ตูน คอมมาดี้ แอนิเมชั่น หน้าดูสำหรับเดือน กุมพาพันธ์ 2021 ซึ่งถึงเวลาของคู่หูคู่กัดออกมาไล่ฟัดกันอีกครั้งกับตัวอย่างแรกภาพยนตร์ “Tom and Jerry – ทอม แอนด์ เจอร์รี่” จากผลงานการกำกับหนังของ Tim Story (Fantastic Four, Ride Along) และนักแสดง Chloë Grace Moretz, Michael Peña, Rob Delaney, Ken Jeong, Colin Jost โดยหนังเรื่องนี้ได้ได้สัมผัสกับ คู่กัด ที่น่ารักที่สุดในโลก ในรูปแบบของภาพยนต์เรื่องแรก พบกับได้พร้อมกันทั่วประเทศ โดยมีกำหนดฉายทุกโรงภาพยนต์ในวันที่ 26 กุมพาพันธ์ 2021

เรื่องราวของ หนึ่งในคู่กัดที่เป็นที่รักที่สุดในประวัติศาสตร์จะกลับมาอีกครั้ง เมื่อ เจอร์รี่ ย้ายไปอยู่ที่โรงแรมที่หรูหราที่สุดในมหานครนิวยอร์ก ณ ช่วงเวลาที่กำลังจะมีพิธีการแต่งงานสำคัญ เป็นเหตุให้ผู้จัดงานจำเป็นต้องจ้าง ทอม มาเพื่อกำจัดเขาให้ออกไปให้พ้นตา เกิดเป็นสงครามระหว่างแมวกับหนูที่อาจทำลายอาชีพการงานของผู้จัดงานคนนั้น ไปจนถึงพิธีแต่งงาน และชื่อเสียงอันโด่งดังของโรงแรม แถมสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายไปกันใหญ่เมื่อมีพนักงานอีกหนึ่งคนที่พยายามเข้ามาเติมเชื้อเพลิงให้กับความวุ่นวายระหว่างพวกเขา

ในหลังเรื่องนี้ ถือเป็นการกลับมาแบบติดๆ กันสำหรับ Chloë Grace Moretz โดยเรื่องนี้จะเปลี่ยนมาในการ์ตูนฯ เบาสมองสุดฮิตจากยุค 80s-90s เรื่อง Tom and Jerry ในรูปแบบหนังใหญ่ที่มีนักแสดงจะร่วมแสดงกับเจ้าแมว Tom และเจ้าหนู Jerry ที่เป็นคอมพิวเตอร์กราฟิก Tom and Jerry เคยสร้างจากการ์ตูนแอนิเมชันที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ครั้งแรกในปี 1940 สร้างโดย William Hanna และ Joseph Barbera เคยมีหนังฉบับ 2 มิติออกมาในปี 1992 และหนังโฮมวิดีโอออกมาอีก 13 เรื่อง ส่วนฉบับนี้จะกำกับโดย Tim Story จากหนังฮีโรมาร์เวลอย่าง Fantastic Four (2005-2007) และไตรภาค Ride Along (2014-2016) และเขียนบทโดย Kevin Costello จาก Brigsby Bear (2017)

หนังจะเล่าเรื่องราวของหนู Jerry ที่ย้ายไปอยู่ในโรงแรมสุดหรูหราของมหานครนิวยอร์ก ในช่วงเวลาที่กำลังจะมีพิธีแต่งงานครั้งสำคัญ เป็นเหตุให้ผู้จัดงานจำเป็นต้องจ้างคู่ปรับตลอดกาลของ Jerry อย่างแมว Tom มาเพื่อกำจัดเขาให้ออกไปให้พ้นสถานที่จัดงานนี้ให้ได้ทันเวลา ความสนุกจึงบังเกิดขึ้นเป็นสงครามระหว่างแมวกับหนูที่อาจทำลายอาชีพการงานของผู้จัดงานไปจนถึงพิธีแต่งงานและชื่อเสียงอันโด่งดังของโรงแรมแห่งนี้ให้ย่อยยับ

Extreme Job (2019)

Extreme Job ถือเป็นหนังอีกเรื่อง ที่สามารถเรียกเสียงตลก และฉากมันๆ ได้ในเวลาเดียวกัน จัดว่าเป็นหนังอีกเรื่อง ที่คู่ควรกับการดูอย่างแท้จริง โดยในเรื่องนี้ จะเป็นราวเกี่ยวกับ ตำรวจกลุ่มหนึ่ง ที่ต้องการที่จะสร้างชื่อ และผลงาน เรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไปบ้างไปติดตามกันได้เลย

เชื่อว่ากันว่าคนเรามักจะทำงานที่ตัวเองรักได้ดีกว่าหน้าที่ที่ต้องทำเสมอ แต่สงสัยคำพูดเหล่านี้คงใช้ไม่ได้กับกลุ่มตำรวจสายกากกลุ่มหนึ่งที่มีสมาชิกทีมอยู่ตั้ง 5 คน แต่ไม่เคยปิดคดีเด็ดๆ ได้เลยสักครั้ง นี่จึงเป็นโอกาสสุดท้ายก่อนที่พวกเขาจะโดนพับโครงการ กับปฏิบัติการซุ่มจับเจ้าพ่อแก๊งค้ายาสุดโหด ที่รังโจรนั้นก็ดันมาอยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านขายไก่ทอดที่กำลังจะเจ๊งซะอย่างนั้น ด้วยความที่ไม่อยากเสียทำเลทองไปพวกเขาจึงจำใจเซ้งร้านต่อแล้วมาขายไก่ทอดบังหน้ามันซะเลยละกัน แต่ดูเหมือนว่ากิจการไก่ทอดจะไปได้ดีว่าหน้าที่การงานจริงๆ ซะจนพวกเขาอาจจะต้องตัดสินใจแล้วว่า หรือพวกเขาจะไปได้ดีกับตำแหน่งราชาไก่ทอดกันแน่

และนี่ก็คือเรื่องย่อสุดกาวแบบคร่าวๆ ของภาพยนตร์เกาหลีใต้สุดฮอตอย่าง ‘Extreme Job’ ที่เปิดตัวแรงสุดๆ ด้วยการทำลายสถิติเป็นภาพยนตร์ที่มียอดผู้ชมจำนวนกว่า 2 ล้านคน ภายในเวลาเพียงแค่ 3 วัน จนเกิดเป็นกระแส Talk of the Town ในเกาหลีไปแล้วในช่วงต้นปี 2019 ที่ผ่านมานั่นเอง เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์มาแรงของปีนี้เลยก็ว่าได้

โดยรวมแล้วตัวหนังมีความเป็นแอ็กชัน – คอมเมดี้ ที่ใส่ความเป็นตลกร้ายสไตล์หนังเกาหลีเอาไว้หนักมากกกกก ทั้งความขี้แซะ จิกกัด เสียดสีไปมาระหว่างตัวละครด้วยกันเอง ยันตัวหนัง(หรือผู้กำกับ) ที่ทั้งเหน็บแนมและจิกแซะระบบราชการตำรวจและสังคมเกาหลีใต้ซะจนพรุนไปหมด เรียกได้ว่าในส่วนของบทนั้นมีความดุเด็ดเผ็ดมันสไตล์เกาหลีแซ่บ ๆ ทำเอาคนดูสามารถดูได้เรื่อยๆ เพลินๆ แบบไม่มีสะดุดเพราะบทเขาสุดจริงอะไรจริง

สิ่งสำคัญที่สุดคงจะเป็นใจความสำคัญของหนัง ที่ผู้กำกับขยี้ประเด็นด้วยการจั่วหัวตั้งคำถามกับคนดูตั้งแต่ต้นเรื่องว่า ‘ความล้มเหลวที่มีเกียรติ และความสำเร็จที่น่าอาย’ อะไรคือสิ่งที่คุณจะเลือกถ้าต้องตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับพวกเขาเหล่านั้น? ซึ่งมันเป็น Message ที่ค่อนข้าง Touch กับความรุ้สึกของกลุ่มคนดูส่วนใหญ่ กับยุคปัจจุบันที่ชีวิตถูกกำหนดด้วยบทบาทและเงื่อนไขทางสังคมมากมาย จนหลายๆ ครั้งที่เราก็ต้องเลือกปากท้องมากกว่าความฝัน ไม่ต่างอะไรกับตัวละครในหนังเรื่องนี้ ซึ่งตัวหนังสามารถทำให้เราคนดูเชื่อได้จริงๆ ว่าชีวิตของตัวละครหลักเหล่านั้นช่างบัดซบซะจนเราเองก็แอบรู้สึกตามไปเหมือนกันว่า “ถ้าต้องเจองานแบบนี้ไปขายไก่ทอดยังดีซะกว่า” แถมมุกตลกร้ายหรือความวายป่วงทั้งหลายที่ใส่ลงไปในหนัง มันทำให้เราขำก๊ากได้ในตอนแรก จากนั้นพอเรารู้สึกตัวอีกทีความตลกนั้นก็ทำเอาหัวใจเจ็บจี๊ดขึ้นมาได้เหมือนกัน งานนี้สรุปแบบสั้นๆ ได้ใจความเลยว่า “กลมกล่อม ครบรส อูมามิมากเลยจ้ะ”

Happiest Season (2021)

Happiest Season สุดยอดหนัง ดรม่า โรแมนติก ภายในครอบครัว สุดอลเวงในช่วง เทศกาล คริสมาส โดยเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่อง ที่เราไม่ควรพลาด ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นหนัง ความรัก สำหรับต้นปี 2021 เลยก็ว่าได้ เนื่องจากกำหนดฉายในต้นปีนี้มีแต่หนังแนวอื่นๆ หนังเรื่องนี้ เป็นอีกเรื่องที่ได้สะท้อนค่านิยม ภายในครอบครัว ฝั่งอเมริกา

ในยุคปัจจุบันที่หนังเนื้อหา LGBTQ มีจำนวนมากขึ้นสะท้อนการยอมรับของผู้คนในสังคม แต่เนื้อหาหนังแนวนี้หลายเรื่องก็มักจบอย่างผิดหวัง คู่รักมีอันต้องพลัดพรากและไม่ได้ลงเอยอย่างบริบูรณ์ การมาถึงของ Happiest Season หนังหญิงรักหญิงเรื่องใหม่อาจทำให้คอหนังแนวนี้ได้สมหวังและไม่ต้องเครียดหรือดราม่ามากเหมือนเรื่องก่อน ๆ ในเทศกาลแห่งความสุขคริสต์มาสปีนี้

หนังจะนำแสดงโดย Kristen Stewart จากแฟรนไชส์ Twilight (2008-2012) และ Snow White and the Huntsman (2012) และ Mackenzie Davis สาวสุดเท่จาก Terminator: Dark Fate (2019) ที่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ทั้งสองมารับบทเป็น Abby และ Harper คู่รักหญิงรักหญิงที่ตกลงกันว่า จะไปใช้ช่วงเวลาวันคริสต์มาสกับครอบครัวของฝ่ายหลัง แต่ก็เกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อ Harper เพิ่งจะสารภาพว่า ยังไม่ได้บอกพ่อแม่และทุกคนในครอบครัวว่าเป็นเลสเบียน และขอให้ Abby แอ๊บไปก่อนว่าพวกเธอเป็นเพื่อนกัน คริสต์มาสนี้จึงกลายเป็นการผจญภัยและบทพิสูจนที่ความรักของคนคู่นี้ด้วย

หนังยังสมทบด้วย Alison Brie จากซีรีส์ GLOW, Aubrey Plaza จาก Scott Pilgrim vs. the World (2010), Dan Levy จาก Admission (2013), Victor Garberจาก Argo (2012) และนักแสดงตลก Mary Holland จาก Between Two Ferns: The Movie (2019) ซึ่งเธอร่วมเขียนบทหนังเรื่องนี้กับผู้กำกับ Clea DuVall ซึ่งเคยเป็นนักแสดงก่อนจะผันตัวมาเป็นผู้กำกับ ผลงานก่อนหน้านี้ของเธอคือ The Intervention

Snowpiercer (2020)

Snowpiercer ถือเป็นซีรีย์อีกหนึ่งเรื่องหน้าดูของปี 2020 เรื่องราวเกี่ยวกับการเอาตัวรอดของมนุษย์ ท่ามกว่าความหนาวเย็น อุณหภูมิบนโลก ติดลบ เป็นหนังที่มีครบทุกรสชาติ ทั้ง เอาตัวรอด ดราม่า การผจญภัย ลึกลับซ่อนเงื่อน โดนหนังเรื่องนี้ได้สะท้อนความคิด ชนชั้น แนวทางต่างๆ ของมนุษย์ไว้ด้วยกัน

ซึ่งหนังเรื่องนี้ได้รับแรงบรรดาลใจจากหนัง Snowpiercer ที่สร้างในปี 2013 ด้วยการตอบรับที่ดี netfilx ได้นำเรื่องนี้นี้มาทำเป็นซีรีย์ ทั้งหมด 10 ตอน ในซีซั่นแรก ให้ทุกท่านติดตาม

เรื่องย่อของ Snowpiercer โลกในอนาคตนักวิทยาศาสตร์คิดสารแก้โลกร้อน แต่กลายเป็นว่าทำให้อุณหภูมิโลกลดลงจนใช้ชีวิตอยู่ไม่ได้ รถด่วนขบวนพิเศษของวิลฟอร์ดที่วิ่งไปรอบโลกเพื่อผลิตไฟฟ้าคอยเลี้ยงระบบนิเวศในรถเป็นเพียงพาหนะเดียวที่สิ่งมีชีวิตอยู่รอด และวิลฟอร์ดก็เลือกขายตั๋วสุดแพงให้กับพวกคนรวยเท่านั้น ทว่าในตอนที่รถออกตัวพวกคนที่ไม่มีเงินซื้อตั๋วต่างทำลายรั้วและแย่งขึ้นท้ายขบวนรถสำเร็จ หลังจากนั้นรถด่วนนี้ก็เกิดมีชนชั้นที่แตกต่างกันสุดขั้วขึ้น หัวขบวนใช้ชีวิตหรูหรา ท้ายขบวนไม่มีอาหารจะทานจนเกิดลัทธิล่ามนุษย์ กินอยู่กันอย่างแออัด และถูกจำกัดสิทธิ์การมีบุตร นั่นจึงเป็นจุดเริ่มของกลุ่มต่อต้านจากท้ายขบวนที่ต้องการปฏิวัติรถด่วนนี้

นับเป็นซีรีส์ที่มาแรงที่สุดทางเน็ตฟลิกซ์เรื่องหนึ่ีงในเวลานี้ แม้เพิ่งจะลงมาแค่ 2 ตอนจากทั้งหมด 10 ตอนในซีซันแรกเท่านั้น ความน่าสนใจที่สำคัญที่สุดคือ นี่เป็นการดัดแปลงจากภาพยนตร์ชื่อเรื่องเดียวกัน ผลงานของ บองจุนโฮ ผู้กำกับเกาหลีใต้ที่เพิ่งคว้าออสการ์ปีล่าสุดไปครองกับหนัง Parasite โดย Snowpiercer ที่สร้างในปี 2013 นับเป็นบันไดก้าวสำคัญที่ทำให้บองจุนโฮถูกจดจำได้ในตลาดโลก เพราะครั้งนั้นเขาได้ร่วมงานกับทั้ง คริส อีแวนส์, ทิลดา สวินตัน, เอ็ด แฮรร์ริส และ ออกทาเวีย สเปนเซอร์ ซึ่งล้วนเป็นดาราระดับโลกที่พาให้หนังขายได้ทุกย่านร้านตลาดแบบสบาย ๆ

และถ้าพูดถึงในแง่เนื้อหา Snowpiercer ก็เป็นหนังไฮคอนเซ็ปต์ที่พูดเรื่องชนชั้นที่เป็นเรื่องนามธรรม ให้ออกมาเป็นรูปธรรมผ่านมิติแห่งหนังไซไฟปรัชญาได้แบบที่เข้าใจง่ายพอสมควร และเรื่องชนชั้นนี้ก็เป็นไม้เด็ดที่ถูกขยายอย่างซ้ำ ๆ จนในที่สุดบองจุนโฮก็เอาชนชั้นปรสิตไปคว้าออสการ์กลับบ้านได้สำเร็จ เรียกว่าหนังเรื่องนี้เป็นทั้งหนึ่งในบันไดและขั้นตอนสู่ความสำเร็จแบบมีแบบแผนของบองจุนโฮก็ว่าได้

เมื่อความสำคัญมันมากเฉกนี้แล้ว ไม่แปลกที่เมื่อเราได้ยินว่าเน็ตฟลิกซ์จะนำมาทำซีรีส์แล้วจะเกิดมโนคติโดยยกความประทับใจแรกจากการชมฉบับหนังมาทาบปิดตาไว้ ว่านี่จะต้องเป็นซีรีส์ที่เข้มข้น แฟนตาซีโลกล่มสลายดิ่งมืดสุดติ่งอย่างที่มีจุดเฉลยเหวอ ๆ แบบตอนได้รู้ความจริงเรื่องก้อนโปรตีน ที่สำคัญต้องมีตัวละครมากมายที่สีสันจัดจ้าน เช่นเดียวกับที่เคยประทับใจในตัวละครของทิลดา สวินตัน แน่ ๆ

Outside the Wire (2021)

Outside the Wire ภาพยนตร์ แอ็กชันไซไฟ จากเน็ตฟริก ที่ได้รวมนักแสดงคิวบู๋ไว้มากมาย ซึ่งในหนังเรื่องนี้ เป็นการแสดงถึงเรื่องราวของทหาร นายหนึ่ง ซึ่งเป็นอดีตทหารบังคับโดรนสังหาร ที่ได้ตัดสินใจขัดคำสั่งยิงจรวดช่วยหน่วยรบ ทำให้ทหาร 38 นายอยู่กลางดงศัตรูโดยทำการสละชีวิตทหาร 2 นายไปพร้อมกับทหารฝั่งศัตรู จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เขาถูกสั่งย้ายไปร่วมภารกิจอื่น และได้พบกับทหารสุดแปลกที่ไม่มีใครเอา และการเปิดเผยตัวว่าเขาไม่ใช่คน เรื่องราวนี้จะจบลงอย่างไร ติดตามต่อได้ใน Outside the Wire ได้ที่ทาง netfilx ได้แล้ววันนี้

ส่วนด้านทีมงานเบื้องหลังงานสร้างก็ได้ผู้กำกับ มิคาเอล ฮาฟสตรอม จากสวีเดนที่เคยมีผลงานพอสร้างชื่ออย่างหนังสยองขวัญทั้ง 1408 (2007) และ The Rite (2011) โดยในแนวแอ็กชันก็มีผลงานที่น่าจดจำคือ Escape Plan (2013) ที่ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ปะทะ อาร์โนลด์ ชวาร์ซเน็กเกอร์ ดูจากผลงานถือว่าเชื่อมือการเล่าเรื่องได้ระดับหนึ่งเลยล่ะ แต่จะหวังบู๊ล้างผลาญเลยน่าจะยากนิดหนึ่ง

ซึ่งก็เป็นดังนั้น เพราะเมื่อประจวบเหมาะกับการได้มือเขียนบทอย่าง ร็อบ เยสคอมบ์ ที่เคยผ่านงานเขียนบทให้เกมเนื้อเรื่องน้ำดีอย่าง The Division ที่ผสมแอ็กชัน โรคระบาดกับการเมืองได้เข้มข้นมาเขียนบทด้วยแล้ว ก็ยิ่งส่งเสริมกันดีในทางบทชวนคิดมากกว่าชวนลุ้นระทึกนันสต็อปแน่นอน

จริงๆ การที่ร็อบได้จับมือกับ โรแวน เอเธล ที่มีผลงานแนวแอ็กชันไซไฟเกรดบีมาร่วมเขียนบท และพิจารณาจากที่ร็อบเคยเขียนบทเกมไซไฟเอามันอย่าง Crysis มาแล้ว มันก็มีทั้งทางเลือกแบบเกรดบีเอามันไม่สนใจโครงเรื่องแบบเอาตัวรอดง่ายๆ ไปเลยได้เช่นกัน แต่เมื่อหนังมันออกมาทางที่ไซไฟปรัชญาที่ท้าทายตัวเองของทั้งคู่แทน เราก็ชื่นชมในความกล้าตรงนี้เช่นกัน

หนังเล่าเรื่องของทหารอ่อนประสบการณ์ในสนามรบจริงอย่าง ฮาร์ป (แดมสัน ไอดริส) ที่ตัดสินใจฆ่าคนผ่านจอและปุ่มคอนโทรลในมือไม่ต่างจากการเล่นเกม ทำให้เขาตัดสินใจสละชีวิตทหารฝั่งตัวเองเพื่อผลลัพธ์ได้อย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร การโดนลงโทษให้ไปร่วมภารกิจกับ ผู้กองลีโอ (แมกคี) ทหารสุดเก๋าก็ราวกับจะให้อารมณ์หนังสไตล์คู่หูชัดเจน ทว่าเมื่อ ฮาร์ปถามลีโอว่า นี่มันเหมือนเราเป็นคู่หูกันเลย? เขาก็โดนลีโอตะคอกหงายตึงว่า ไม่ แกเป็นลูกน้องฉัน เท่านั้น ทำให้ผู้ชมเริ่มต้องปรับตัวนิดๆ ว่า นี่ไม่ใช่งานดูเพลินๆ เอามันแบบ Bad Boys แน่นอนแล้ว

ความยากลำบากในการดูหนังเรื่องนี้มาจากตรงนี้เอง เราต้องจับสัญญาณระหว่างบทสนทนาของ 2 คู่หู ที่ผ่านสถานการณ์ต่างๆ ไปตลอดเรื่อง โดยความปวดขมองคือ ตัวละครแอนดรอยด์อย่างผู้กองลีโอ มีพฤติกรรมที่ชวนสับสนต่อกฎ 3 ข้อของจักรกลที่มักสำคัญในหนังแนวไซไฟหุ่นยนต์ทุกเรื่อง ซึ่งเราไม่รู้ได้เลยว่า ฮาร์ป หรือตัวแทนผู้ชม ควรตอบรับกับการสอนหรือการหลอกใช้ของ ลีโออย่างไร

นอกจากนั้นสถานการณ์ทางการเมืองแถบบอลข่านที่เป็นฉากหลักของเรื่อง ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มเผด็จการทหาร กลุ่มกบฏ ชาวบ้านยูเครน รัฐบาลรัสเซีย และรัฐบาลสหรัฐ ที่คลุ้งอยู่เป็นฉากหลังทั้งเรื่องนั้น ก็แอบต้องคิดตามอยู่ไม่น้อยพอแล้ว

เมื่อทุกองค์ประกอบทั้งการเมืองหลายฝักฝ่าย ปรัชญาเรื่องสงคราม ความเป็นมนุษย์ที่แย้งกับหน้าที่ทหาร ปรัชญาไซไฟเกี่ยวกับกฎ 3 ข้อของหุ่นยนต์ อารมณ์ที่ขัดแย้งกับเหตุผล ถูกเอามาเสนอผสมกันมันจึงกลายเป็น โกโก้ครันช์ รสรวมๆ ที่ถ้าไม่ถูกปาก ก็เทชามคว่ำทิ้งถังได้เลย

Bridgerton วังวนรัก เกมไฮโซ

Bridgerton ซีรี่ย์ แนว ดราม่า โรแมนติก จาก netflix ได้เปิดตัวในปลายปี 2020 ซึ่งซีรี่ย์เรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ทำยอดผู้ชมสูงสุดเป็นประวัติกาล ด้วยเนื้อเรื่องที่ได้สร้างจากนิยายที่ขายดี โดยซีรี่ย์เรื่องนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับ ครอบครัวสุดร่ำรวย ที่สุดอลเวง แทรกไปด้วยเรื่องราวดราม่า จากความรัก ที่จะทำให้ท่านตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา

จากนิยายขายดีชุด Bridgerton ของ Julia Quinn กลายมาเป็นซีรีส์ Love Drama Comedy ซีรีส์รักโรแมนติกชิงไหวชิงพริบท่ามกลางเรื่องอื้อฉาวที่เน้นชูค่านิยมในวงสังคมชั้นสูง มิตรภาพความรัก กับเส้นทางของแต่ละครอบครัว และการค้นหารักแท้ ผลงานสร้างของ Shondaland และผู้สร้าง Chris Van Dusen

Bridgerton ที่กำลังโด่งดังอยู่ใน NETFLIX เวลานี้ ดัดแปลงมาจากเรื่องราวในเล่มแรก (ดยุคในดวงใจ THE DUKE ANDI ) ของนิยายชุด Bridgerton นิยายแนวโรมานซ์แบบคลาสสิกดั้งเดิม เรื่องของ ดาฟนี่ บริดเจอร์ตัน ลูกสาวคนโตของแม่ม่ายไฮโซ เลดี้ไวโอเล็ต บริดเจอร์ตัน ตระกูลขุนนางในยุครีเจนซี กับ ไซมอน บาสเซ็ต ดยุคหลุ่มรูปงามแห่งเฮสติ้งส์ ที่บรรดาแม่ ๆ อยากจะตกมาเป็นลูกเขยใจจะขาด ว่าด้วยเรื่องของวงสังคมไฮโซในสมัยนั้น ที่การหาคู่ที่เหมาะสมดูจะเป็นภารกิจหลักของสตรีชั้นสูง ที่เชื่อว่ามันคือหลักประกันให้พวกหล่อนมีชีวิตอยู่อย่างเชิดหน้าชูตา

ครอบครัว Bridgerton มีทายาททั้งหมด 8 คนและจะเป็นตัวเอกนิยายชุด Bridgerton ทั้งหมด 8 เล่ม ซึ่งบ้านเรามีแปลออกมาแล้วถึงเล่ม 7 จ้ะ ดาฟนี่ บริดเจอร์ตัน (Phoebe Dynevor) เป็นลูกสาวคนโตของตระกูล บริดเจอร์ตัน อันทรงอิทธิพล เมื่อเธอเป็นสาวเดบูตองต์ (สาวน้อยแรกรุ่นจากตระกูลสูงศักดิ์ ตามธรรมเนียมยุโรป) ที่ก้าวเข้าสู่ตลาดหาคู่อันดุเดือดของลอนดอนยุครีเจนซี ดาฟนี่หวังว่าจะเจริญรอยตามพ่อแม่และพบคู่ที่เกิดจากรักแท้ ชายหนุ่มที่เข้ามาในช่วงแรกดูเหมือนจะผ่านฉลุย แต่หลังจากพี่ชายคนโตเริ่มกีดกันชายที่มีแววจะเป็นคู่ของเธอได้

หนังสือพิมพ์ซุบซิบสังคมชั้นสูงที่ เลดี้ วิสเซิลดาวน์ นักเขียนปริศนาเป็นผู้เขียน ก็เริ่มป้ายสีดาฟนี่ เธอจึงตกลงกับดยุคแห่งเฮสติ้งส์ ไซมอน บาสเซ็ต (Regé-Jean Page) หนุ่มโสดเนื้อหอมจอมขบถที่บรรดาแม่ ๆ ของสาวเดบูตองต์ใฝ่ฝันอยากได้เป็นลูกเขยในฤดูกาลนี้ ตบตาคนทั้งเมืองว่าทั้งสองกำลังศึกษากัน แม้ทั้งคู่จะออกปากว่าไม่ต้องการอะไรจากกัน แต่เห็นได้ชัดว่าเริ่มมีใจให้กันหลังจากต้องชิงไหวชิงพริบกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ท่ามกลางสายตาทุกคู่ในวงสังคม ที่มีต่ออนาคตของทั้งคู่ เรื่องชาวบ้านเป็นงานของสังคมนี้เขาเลยละ

The Lighthouse (2019)

The Lighthouse ภาพยนตร์ แนว ดราม่า ระทึกขวัญ ที่ถูกสร้างขึ้น และอ้างอิงจากเรื่องจริง ในช่วงยุด 1800 โดยเรื่องนี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชาย 2 คน ที่ติดอยู่ในประภาคาร ที่มีพายุอย่างยาวนาน ถือว่าเป็นอีกเรื่องที่น่าดูเลยทีเดียว โดยหนังเรื่องนี้ได้ถูกนำกลับมาฉายอีกครั้ง ในปี 2021 นี้

ไม่น่าเชื่อว่า The Lighthouse จะเป็นเพียงผลงานหนังยาวเรื่องที่ 2 ของผู้กำกับ โรเบิร์ต เอ็กเกอร์ ผู้กำกับที่โด่งดังจากหนังเรื่องแรกในแนวเขย่าขวัญยุคใหม่อย่าง The VVitch: A New-England Folktale (2015) ซึ่งก็ทำให้เห็น ความมีของ ในตัวเอ็กเกอร์มาอย่างดี และในหนังเรื่องที่ 2 ของเขานี้มันก้ยังคงโดดเด่นจากสิ่งที่เขาเคยทำไว้ ทั้งโปรดักชันดีไซน์ที่เคร่งขรึมย้อนยุคแต่สวยงามมีความขลัง และปริศนาดำมืดที่น่าหวาดผวาสั่นประสาทตัวละครและผู้ชม

โดยในครั้งนี้เขานำเรื่องเล่าคลาสสิกของเหตุการณ์จริงในปี 1801 ที่ชื่อ โศกนาฏกรรมประภาคารหลังเล็ก (The Smalls Lighthouse Tragedy) เกี่ยวกับคนเฝ้าประภาคารชาวเวลส์ 2 คนที่ชื่อโธมัสเหมือนกันต้องติดอยู่ในประภาคารระหว่างพายุใหญ่โหมกระหน่ำยาวนาน และเมื่อชายคนหนึ่งเกิดตายอย่างสยดสยอง ชายอีกคนกลัวถูกกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรถ้าเอาศพโยนทะเล จึงจำใจต้องทนอยู่ทำงานโดยมีศพเพื่อนร่วมงานที่กำลังเน่าเปื่อยอยู่ไม่ไกล สภาวะกดดันและความอ้างว้างทำให้เขาแทบเป็นบ้า เหตุการณ์นี้ถูกนำมาถ่ายทอดผ่านสื่อหลายครั้งที่ใกล้หน่อยก็มีละครวิทยุของช่อง BBC ในปี 2011 ฉบับหนังอังกฤษในปี 2016 ของ คริส โครว์ และผ่านวิสัยทัศน์ใหม่ในหนังฉบับนี้ของเอ็กเกอร์นี่เอง

ทั้งนี้ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดและเป็นความโดดเด่นในฉบับเอ็กเกอร์ คือการผสมผสานเรื่องราวดราม่าคลาสสิกทางทะเลจากนวนิยายอมตะของ เฮอร์แมน เมลวิลล์ (Herman Melville) เจ้าของผลงาน Moby-Dick กับโรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน (Robert Louis Stevenson) เจ้าของผลงาน Treasure Island โดยมีเอกลักษณ์ของนิยายสยองขวัญเหนือธรรมชาติของ เอช. พี. เลิฟคราฟท์ (H. P. Lovecraft) และนิยายผีของ อัลเจอร์นอน แบล็กวูด (Algernon Blackwood) เป็นส่วนผสมในฝั่งของจิตวิปลาสด้วย เมื่อบวกด้วยฝีมือการกำกับและประสบการณ์ในการทำโปรดักชันดีไซน์ของเอ็กเกอร์ก็ทำให้ตัวหนังมีเอกลักษณ์โดดเด่นที่ผู้ชมสัมผัสได้ตั้งแต่แว่บแรก

โดยเฉพาะงานด้านภาพที่แทบยกเทคนิคหนังยุคเก่าในสัดส่วนจอแบบเกือบจัตุรัส (1.19:1) แบบฟิล์มโบราณยุค 1888 ทั้งการใช้เลนส์วินเทจบาลตาร์ส (Baltars) และฟิลเตอร์ชไนเดอร์ (Schneider) ใส่กล้องฟิล์ม 35 mm ขาวดำ Double X (5222) แบบหนังยุคนั้น การถ่ายภาพเองก็ศึกษาการถ่ายแบบหนังยุคเก่าที่เน้นการถ่ายแบบขาตั้งกล้องนิ่งเหมือนละครเวที แล้วอาศัยการตัดต่อหลากมุมเพื่อให้ทันสมัยขึ้น จึงได้ความรู้สึกผสมผสานทั้งขลังแบบเก่าและความดุดันเร้าอารมณ์แบบหนังยุคใหม่ ซึ่งลงตัวอย่างมากกับตัวเนื้อหาย้อนยุคและอารมณ์ของหนัง

อีกส่วนที่โดดเด่นแบบรู้สึกมาก ๆ คือการแสดงแบบทุ่มสุดตัว ลึกสุดใจของ 2 นักแสดงนำอย่าง โรเบิร์ต แพตทินสัน และ วิลเลม เดโฟ ที่ฝั่งหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มหน้าใหม่ที่มาทำงานครั้งแรก เป็นตัวแทนสายตาฝั่งผู้ชมที่เข้าไปสัมผัสประภาคารกลางทะเลห่างไกลผู้คน พร้อมบรรยากาศและเรื่องเล่าที่น่าหวาดระแวงและประสงค์ร้ายต่อสภาวะจิตใจ ทั้งการตายของคนดูแลคนก่อนหน้าที่เขามาทำงานแทน หุ่นแกะสลักตำนานนางเงือกที่มาเชื้อเชิญชายหนุ่มให้จมน้ำตาย คำสาปของนกทะเลที่บินวนเวียนอยู่รอบประภาคาร และพฤติกรรมประหลาดของรุ่นพี่ที่หลงใหลแสงประภาคารจนน่าสงสัย อีกฝั่งคือรุ่นพี่สุดเก๋าที่ชอบจ้ำจี้ มีความเห็นในทุกเรื่อง เจ้าอารมณ์ ขี้โกหกคำพูดกลับกลอกไปมา จนความจริงคลุมเครือชวนสับสน ปั่นหัวทั้งตัวละครหนุ่ม ทั้งตัวเอง และผู้ชม

“แกรู้มั้ยว่านี่ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว (ภาพในหนังเหมือนผ่านมาแค่ 2 วัน) แกเป็นอะไรไปถึงบ้าคลั่งเอาขวานไล่ฆ่าฉัน (ภาพในหนังคือเป็นรุ่นพี่เอาขวานไล่ฆ่าชายหนุ่ม) หรือฉันอาจเป็นเพียงจินตนาการในหัวของแกเท่านั้นก็ได้”

ถ้าไปดูรายละเอียดเบื้องหลังการแสดงของทั้งคู่เราจะยิ่งทึ่งกับภาพที่ปรากฏบนจอเข้าไปอีก แต่ก็เป็นเรื่องควรรู้ก่อนไปรับชม เช่น ผู้กำกับเอ็กเกอร์เข้มงวดกับการพูดของตัวละครถึงขนาดสั่งเดโฟให้แสดงโดยพูดความเร็วเท่าไหร่ ในบทบรรทัดที่เท่าไหร่เลยทีเดียว ด้านเดโฟเองก็ไม่ยิ่งหย่อนเขาเลือกนอนในบ้านของชาวประมงใกล้กับสถานที่ถ่ายทำเพื่อซึมซับบรรยากาศของตัวละคร ส่วนแพตทินสันก็เลือกจะไม่พูดคุยกับใครระหว่างการถ่ายทำ กับเดโฟเองคนทั้งคู่ไม่ได้คุยเป็นการส่วนตัวเลยนับตั้งแต่ถ่ายทำจนหลังจากนั้นไปหลายเดือนทีเดียวเพื่อเก็บความเหินห่างของตัวละครไว้ตามบท และส่วนที่น่าทึ่งมาก ๆ คือการสะกดจิตตัวเองของทั้งคู่อย่างแพตทินสันเขาเลือกจะทานหยดน้ำฝนที่ร่วงผ่านหลังคาลงมาระหว่างคัตเพื่ออินกับบท และเดโฟก็ร่ายบทใส่อารมณ์กว่า 2 นาทีโดยที่ไม่กะพริบตาสักครั้งเดียว นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความเข้มข้นที่นักแสดงทั้งสองคนต่างอัดใส่กันราวกับฆ่ากันได้ทีเดียว นั่นทำให้ภาพในหนังทรงพลังยิ่งขึ้นไปอีก

สรุป นี่เป็นหนังที่โพรดักชันน่าทึ่ง การแสดงน่าศึกษา เนื้อหามีความเข้มข้นเหนือจริงชวนสับสน และถ้ามองให้ลึกหนังก็มีการสะท้อนประเด็นที่ซ่อนไว้ให้คนค้นหาความหมาย ทั้งการแย่งชิงแสง ความหมายของความลุ่มหลงในนางเงือก ความผิดบาปและการลงโทษ ตลอดจนตัวตนและวัยที่ขัดแย้งกัน ประภาคารอาจเป็นสิ่งที่มากกว่าอาคารตามแต่ประสบการณ์ของแต่ละคนด้วยนั่นเอง

Jiu Jitsu (2020)

Jiu Jitsu โคตรคน ชนเอเลี่ยน ภาพยนตร์ หนังศิลปะการมต่อสู้ สไตล์เอเชีย เป็นหนัง แอคชั่น ไซไฟว์ สุดมัน มีฉากบู้ และเอฟเฟกต์ในฉากต่างๆ ที่ได้ทำออกมาอย่างดี พร้อมกับการแสดงของนักแสดงแนวบู้ระดับโลกชื่อดังของไทยอย่าง Tony Jaa หรือ จา-พนม ยีรัมย์ ซึ่งจะสามารถดึงดูผู้ชมชาวไทย และเอเชียได้ดีทีเดียว ที่สำคัญ ในหนังเรื่องนี้ได้มีฉากการถ่ายทำ จากประเทศเมียร์ม่า เพื่อนบ้านเรานี่เอง พร้อมให้ท่านสัมผัมความมันพร้อมกัน 26 พฤศจิกายนนี้

หนังระดมทีมนักแสดง ได้มาทั้งพระเอกเคยฮิตที่ตอนนี้ยึดหลักไม่เลือกงานไม่อยากจนอย่าง Nicolas Cage สมทบด้วย Frank Grillo จาก Captain America: Winter Soldier (2014) และ The Purge: Anarchy (2014), Rick Yune จาก 007 Die Another Day (2002), Alain Moussi จาก Kickboxer: Retaliation (2018), Marie Avgeropoulos จาก The 100 (2014), Juju Chan จาก Wu Assassins (2019) และ Tony Jaa หรือ จา-พนม ยีรัมย์ นักแสดงสายบู๊ชื่อดังของไทย ที่ก็จะมีหนังแฟนตาซีอีกเรื่อง Monster Hunter เข้าฉายในไทยช่วงธันวาคมเช่นกัน

หากผู้ชมไม่ติดขัดกับภาพลักษณ์ความเกรดบีของหนัง การที่ได้เห็น Nicolas Cage ถือดาบเล่มโต หวีผมยาวเรียบแปล้ ใช้ศิลปะการต่อสู้แบบเอเชียปะทะ พร้อมเพลงประกอบแบบไซเบอร์พังค์ และตัวละครที่เต็มไปด้วยความแฟนตาซี ทั้งหมดทั้งมวลนี้อาจทำให้ Jiu Jitsu กลายเป็นหนังคัลต์แห่งยุค หรือเป็นหนังที่เอาใจคอไซไฟแบบไม่ต้องอิงความสมเหตุสมผลไปเลยก็ได้

หนังจะเป็นผลงานกำกับของ Dimitri Logothetis จากหนังการต่อสู้ Kickboxer: Retaliation (2018) โดยเขาเขียนบทร่วมกับ Jim McGrath ดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนที่พวกเขาเขียนร่วมกันอีกที จะเข้าฉายในสหรัฐฯ แบบ VDO on Demand 20 พฤศจิกายนนี้ ส่วนในบ้านเราเข้าฉาย 26 พฤศจิกายนนี้